วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2550

กระบวนทัศน์องค์รวมพหุภาพในกรอบอ้างอิง9มิติ(ต่อ)

แบบจำลอง นิลส์ บอห์ร

นิลส์ บอห์ร นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก....หลังจบปริญญาเอกก็ได้เดินทางไปอังกฤษและได้พบกับนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงของโลกยุคนั้น...คือ รัทเทอร์ฟอร์ด ที่แมนเชสเตอร์..

ทั้งสองสนิทสนมกันมากและมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตลอด....

หลังจากนั้นไม่นาน เจมส์ แชดวิก เพื่อนร่วมงาน รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ค้นพบ อนุภาคที่เป็นกลาง ที่เรียกว่านิวตรอน อยู่ในส่วนที่เป็นแกนกลางของอะตอม อันเป็นไปตามคำทำนายของรัทเทอร์ฟอร์ด....
ผู้ซึ่งกล่าวถ้อยคำอมตะว่า... “ คนโง่ๆในห้องปฏิบัติการ อาจจะระเบิดจักรวาลโดยไม่ตั้งใจก็ได้ ”


ในค่ายเยอรมัน นักฟิสิกส์ แมกซ์ แพลงค์ ก็ได้เสนอทฤษฎีควอนตัมของพลังงาน อันเป็นการอธิบายถึงการแผ่รังสีของอะตอมที่ออกมาเป็นก้อนของพลังงาน....

หลังจากนั้นอีก5 ปีต่อมาในปี พ.ศ 2448 ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในปี 2450

พ.ศ.2456 นิลส์ บอห์ร ซึ่งพำนักที่แมนเชสเตอร์...ก็ได้ตีพิมพ์ Bohr’s atomic theory หรือทฤษฎีอะตอมของบอห์ร เผยแพร่ในอังกฤษและยังร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ...รัทเทอร์ฟอร์ดและด้วยมิตรภาพที่มีต่อกัน บอห์ร จึงตอบตกลงที่จะเป็นอาจารย์สอนที่แมนเชสเตอร์ ตามคำชักชวนของรัทเทอร์ฟอร์ด

ขอกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ในช่วงนี้หน่อยครับ เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมขององค์ความรู้ด้านอะตอมในยุคนั้น...และมีพัฒนาการมาอย่างไร...



แนวคิดอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อังกฤษ ในปี ค.ศ 1911 จึงเป็นแนวคิดที่ทันสมัยที่สุดของโลกในยุคนั้น

จากแนวคิดของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ว่า โครงสร้างอะตอมเหมือนเช่นระบบสุริยะประกอบด้วยศูนย์กลางอะตอมที่เป็นนิวเคลียส มีมวลซึ่งเป็นประจุบวกที่หนัก และมีอิเล็กตรอนประจุลบโคจรรอบๆ...โดยมีแรงที่ยึดเหนี่ยวกันคือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า.....

หลังจากนั้นอีก 2 ปี...นิลส์ บอห์ร ก็ได้พัฒนาโครงสร้างอะตอมใหม่ ด้วยการอธิบายถึงกฎการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในวงโคจรต่างๆรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนพลังงาน...อันเป็นทฤษฎีอะตอมของ บอห์ร...

ในปีค.ศ.1918 บอห์ร ได้จัดตั้งสถาบันฟิสิกส์เชิงทฤษฎีขึ้น...โดยเป็นสาขาหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งโคเปนเฮเกน ....สถาบันของบอห์ร แห่งนี้จึงเป็นที่รวมของนักฟิสิกส์จากทั่วโลกในยุคนั้นจากทุกค่ายหลังสงครามโลกครั้งที่1

เดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่1 จึงเป็นแหล่งชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์จากเยอรมนี ที่แพ้สงคราม เข้าร่วมงานในโคเปนเฮเกนกันคึกคัก.....รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์จากค่ายฝ่ายสัมพันธมิตร

สมาชิกของสถาบันของบอห์รจึงคึกคักไปด้วยนักวิทยาศาสตร์โนเบล และบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากทั่วโลกหลายร้อยคนหมุนเวียนกันมาร่วมงานที่นี่ และร่วมการประชุมใหญ่เป็นประจำทุกปีของบรรดาสมาชิก...เช่น เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก จากเยอรมนีที่ร่วมงานกับบอห์ร และพักอยู่ที่โคเปนเฮเกนถึง 3 ปี,...เออร์วิน ชโรห์ดิงเจอร์จากออสเตรีย , โวลฟ์กัง พอลิ จากเยอรมนี , พอล ดิแรก จากอังกฤษ ,ลิเซอ ไมเนอร์จากเยอรมนี, อาร์ทัวร์ ซอมเมอร์เฟลด์ จากเยอรมนี ผู้ซึ่งได้พัฒนาทฤษฎีของบอห์รให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น,...ออทโท ฟริช จากเยอรมนี(ที่ร่วม กับ ลิเซอ ไมเนอร์ อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นเป็นรายแรกที่บัญญัติศัพท์การแตกตัวหรือ fissionและบอห์ร ให้การสนับสนุนเห็นชอบและให้นำเสนอผลงาน......เป็นการอธิบายจากการทดลองของ ออทโท ฮาห์น แห่งเยอรมนีในการทดลองยิงนิวตรอนไปที่ยูเรเนียม 238....ที่ทำการทดลองในแบบเดียวกับ...เอนรีโค เฟร์มี จากอิตาลี )


สถาบันของบอห์ร...จึงเป็นศูนย์กลางในการประสานงานให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองค่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีอังกฤษเป็นหัวหอก และฝ่ายอักษะที่มีเยอรมนีเป็นผู้นำ.....ด้วยอุดมการณ์แห่งความเป็นสากลนิยมของนักวิทยาศาสตร์....บนพื้นฐานแห่งมิตรภาพและความร่วมมือกันสร้างพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาสัจจธรรม


กำเนิดระเบิดนิวเคลียร์


ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง....ฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีอังกฤษ และอเมริกา เป็นหลักได้ตกลงที่จะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ที่อเมริกา....ความร่วมมือพัฒนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักวิทยาศาสตร์ที่โคเปนเฮเกนได้สิ้นสุดลง....

อเมริกา...ถือเป็นเรื่องของความลับ...

สำนักของบอห์ร...ถูกยึดเยอรมนีจะระเบิดทิ้ง...แต่ได้รับการทัดทานจาก ไฮเซนเบอร์ก...ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ค่ายอักษะ....บทบาทอันเป็นสถานศึกษาของนักฟิสิกส์ทั่วโลกจึงยุติลง

นักวิทยาศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือของผู้นำแต่ละฝ่ายในการคิดค้นอาวุธร้ายแรงเพื่อการเข่นฆ่ามนุษย์....แม้ว่าโดยจิตสำนึกแต่ละคนต้องการหากฎเกณท์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้แก่มวลมนุษยชาติ....

นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงยุคนั้น...จึงถูกระดมกันเข้าไปพำนักใน...อเมริกา..ในหลายรูปแบบหลายคนก็หนีตายจากการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของลัทธินาซี....

เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ , เอนรีโค เฟร์มี จากอิตาลี ...และนิลส์ บอห์ร เป็นต้น..

ระหว่างอยู่ที่อเมริกา บอห์ร...เป็นผู้วางรากฐานทางทฤษฎีการแตกตัวของอะตอม และอธิบายถึงการแตกตัวในการทดลองว่า....ที่จริงแล้วไม่ใช่การแตกตัวของยูเรเนียม 238 ...ซึ่งมีความเสถียรสูง....และได้ระบุว่าหากใช้ไอโซโทปของยูเรเนียม หรือยูเรเนียม 235 จะก่อให้เกิดการแตกตัว...และก่อเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่....

ในช่วงนี้...มีการค้นพบธาตุใหม่ตามทฤษฎีของ บอห์ร คือเนปทูเนียม และพลูโตเนียม (คือ บอห์ร ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1922 ถัดจากไอน์สไตน์..ในเรื่องที่เขาคิดขึ้นคือทฤษฎีระบบพีริออดิก ของธาตุ)

บอห์ร เดินทางกลับเดนมาร์ก...หลังสิ้นสุดภารกิจในเชิงทฤษฎี...และกลับไปในการช่วยเหลือชาวยิวอพยพ....
หลังจากนั้นก็ต้องกลับมาที่อเมริกาใหม่...ในภารกิจร่วมขั้นสุดท้ายของภาคปฏิบัติ....และเพื่อหนีภัยจากนาซี...

ออทโท ฟริช สมาชิกแห่งสถาบันของบอห์ร...ซึ่งบอห์ร ได้ให้ความเห็นชอบกับทฤษฎีการแตกตัว...เดินทางไปอังกฤษและได้ร่วมกับ ไพเอิร์ลส์ (Peierls) ....ทำบันทึกช่วยจำ ว่าด้วยพื้นฐานการสร้างระเบิด ด้วยยูเรเนียม 235 โดยยึดหลักทฤษฎีของบอห์ร...

ที่อเมริกา...ในยุคนี้มีการค้นคว้ากันอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องอะตอม...

ไอน์สไตน์ ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ฝ่ายสัมพันธมิตร...เร่งผลิตระเบิดปรมาณู...ก่อนที่ฝ่ายเยอรมนีจะทำสำเร็จ

เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ แห่งพรินซ์ตัน ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างระเบิด....( หลังจากทำระเบิดปรมาณูสำเร็จอเมริกา จะทำระเบิดไฮโดรเจนต่อ ออปเพนไฮเมอร์ คัดค้านและถูกปลดจากทุกตำแหน่งข้อหา...เป็นการกระทำผิดวิสัยของชาวอเมริกัน )

นิลส์ บอห์ร หรือลุง นิค อันเป็นชื่อจัดตั้งในสถานที่ลับในการสร้างระเบิด ที่นักวิทยาศาสตร์แทบทุกคนรู้จักดี....มีส่วนในภารกิจหลักคือการวางรากฐานทางทฤษฎี...

หลังจากนั้น....ระเบิดสองลูก...ก็ถูกทิ้งลง

ต้องทิ้งลงใส่ผู้คนถึงสองลูก...ตามบัญชาแห่งผู้นำสัมพันธมิตรยุคนั้น...ก็เพราะ..

ต้องทดลองระเบิด 2 แบบ....คือแบบลูกแรกเป็น ยูเรเนียม 235 ส่วนอีกแบบเป็นพลูโตเนียม....

โดยมีชีวิตมนุษย์หลายล้านคน...เป็นสนามทดลอง...
และนี่คือความเจ็บปวดรวดร้าวของนักวิทยาศาสตร์....
ที่ต้องกระทำตามคำบัญชาจากท่านผู้นำ....



ในช่วงก่อนสงครามโลก...นักวิทยาศาสตร์ของชาติต่างๆมีการร่วมมือกันเป็นอย่างดีในการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับมนุษยชาติและมีความเป็นสากลนิยมที่สูงมาก....เช่นการพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ เกี่ยวกับสนามแรงโน้มถ่วงที่โค้งงอทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง...

บรรดานักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เคมบริดจ์ และแมนเชสเตอร์ อันเป็นศูนย์กลางการค้นคว้าวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลกในยุคนั้น...

นักวิทยาศาสตร์2คนจากอังกฤษหลังการทดลองก็ได้โทรเลขให้ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน และสมาชิกของสถาบันวิทยาศาสตร์ปรัสเซีย...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ทราบถึงผลการทดลองในปีค.ศ.1919......ด้วยสปิริตแห่งความเป็นนักวิทยาศาสตร์...

ผลงานที่ตีพิมพ์ในอังกฤษ ถึงการทดลองนี้และเผยแพร่ไปทั่วโลก....ทฤษฎีไอน์สไตน์จึงโด่งดังกระหึ่ม....

อีก 2 ปีต่อมา...ไอน์สไตน์ ได้เดินทางสหรัฐอเมริกา...เป็นครั้งแรกและได้รับการต้อนรับมีขบวนในการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ราววีรบุรุษในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่....อันมิได้มีกำแพงแห่งการเหยียดหยามทางเชื้อชาติมาขวางกั้น....

ความบ้าคลั่งกระหายอำนาจของผู้นำประเทศและการเมืองระหว่างประเทศที่เบี่ยงเบนทิศทางโดยบรรดาผู้นำชาตินิยมสุดขั้วที่บ้าคลั่งอำนาจเหล่านี้ ไม่อาจขัดขวางมิตรภาพของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในการมุ่งมั่นแสวงหาองค์ความรู้ร่วมกันเพื่อมวลมนุษยชาติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...ไม่ได้ขัดขวางต่อความเป็นสากลนิยมของนักวิทยาศาสตร์ยุคนั้น.....

ในมิตรภาพและการร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์จากอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก ที่เป็นแกนนำสำคัญในยุคนั้น...รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์จากเอเชีย และอเมริกา

เช่น ไฮเดกิ ยูกาวา นักฟิสิกส์จากญี่ปุ่นที่พัฒนาต่อยอดแนวคิดของ เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก ในเรื่อง อนุภาคเสมือนและแรงแลกเปลี่ยนภายในอนุภาค ไฮเดกิ ยูกาวา คำนวนค้นพบ อนุภาคใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้น1ปีนักวิทยาศาสตร์ อเมริกัน คาร์ล ดี. แอลเดอร์สัน ก็ค้นพบอนุภาคที่ยูกาวา พยากรณ์ไว้ ที่เรียกว่าอนุภาค เมซอน อันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการต่อยอดร่วมกันพัฒนาความคิดหาองค์ความรู้ของโลกแห่งอนุภาค ของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเหล่านี้...

มิตรภาพที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน กับประชาชนแห่งรัฐ....อันเป็นมิตรภาพแห่งมวลมนุษยชาติ......ทฤษฎี ควอนตัม ฟิสิกส์ จึงก่อเกิดขึ้นมาภายใต้การทลายกำแพงการเมืองที่มากีดกั้นของนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติเหล่านี้ร่วมกันสานต่อพัฒนาไป

ในระยะก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะระเบิดขึ้น....นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายอักษะ ที่มี เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี เป็นหลัก.....ได้อพยพลี้ภัยกันมากมาย...

ปี ค.ศ. 1939 หรือ 2ปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะระเบิดขึ้น ออตโต ฮาห์น ที่เคยทดลองยิงนิวตรอนไปที่นิวเคลียส ของยูเรเนียม 238 ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน...พร้อมกับ ลิส ไมท์เนอร์ ผู้ที่ร่วมกับ ออทโท ฟริช เขียนทฤษฎีการแตกตัว หรือนิวเคลียร์ฟิชชั่นตามหลักการของ นิลส์ บอห์ร....ได้อพยพไปอยู่ที่แคนาดาหนีภัยจากผู้นำลัทธินาซี...ไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแม็คกิลล์ใน โตรอนโต

อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ หลังโอนสัญชาติเป็นสวิส ไปอยู่ที่ อเมริกา...เช่นเดียวกันกับ เอนริโก เฟร์มิ จากอิตาลีค่ายอักษะ...ผู้ทำการทดลองยิงนิวตรอนไปที่ U 238 เป็นรายแรก...ซึ่งในฝรั่งเศสก็มีการทดลอง ของ โชลิโย และกูรี แห่งฝรั่งเศส และ ออตโต ฮาห์น ที่เยอรมนี ดังได้กล่าวมาแล้ว

ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศฝ่ายอักษะ....

อเมริกาได้ประกาศผลการทดลองในเดือนมกราคม ค.ศ.1939...ในการยิงนิวตรอนครั้งนี้ตามสื่อมวลชนทั่วประเทศและเผยแพร่ต่อชาวโลกว่าเป็นผลงานของอเมริกา...ภายใต้สงครามแห่งการสร้างภาพความเป็นมหาอำนาจ....โดยไม่ได้ให้เครดิตกับ ฟริช และไมท์เนอร์ ผู้สร้างทฤษฎีการแตกตัวของอะตอม ที่ยุคนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้ แม้จะมีการทดลองแบบนี้แล้วก็ตาม.....และอีกความจริงอีกประการก็คือ เอนริโก เฟร์มิ ยังไม่ได้รับการโอนสัญชาติเป็นอเมริกา...และผู้ให้คำอธิบาย และรายละเอียดทางทฤษฎีเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกแห่งสำนักฟิสิกส์สากลนิมของบอห์ร....

หลัง เอนริโก เฟร์มิ หลังได้รับโนเบล ได้ไปลี้ภัยอยู่ในอเมริกา...ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ในปี ค.ศ.1938ก็ได้ไปสอนที่ มหาวิทยาลัยชิคาโก...และได้เพิ่งจะได้รับการโอนสัญชาติเป็น อเมริกา ก็ในปีสุดท้ายของสงครามโลก...หรือปี ค.ศ.1945

นั่นคือ อยู่อเมริกา 7ปี ก่อนที่จะได้สัญชาติ แม้ว่า เฟร์มิ จะมีคุโณปการอย่างยิ่งในการสร้างองค์ความรู้ด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์กับอเมริกา...ในช่วงนั้น...เช่นการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ หรือเตาความร้อนจากนิวเคลียร์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ใน ปี 1942 อันเป็นปีที่สองของสงครามโลกได้สำเร็จอันเป็นต้นกำเนิดไปสู่การสร้างระเบิดนิวเคลียร์

การประยุกต์เหล่านี้ได้สำเร็จเป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจกันของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติพัฒนา ต่อยอดในการค้นคว้าแสวงหาองค์ความรู้อย่างไม่ขาดสายและที่สำคัญก็คือ....อย่างไร้สัญชาติ.....

เหตุการณ์โลกในระยะนี้....ภายใต้ลัทธิคลั่งชาตินานาชนิด...ก็ได้แบ่งเป็นสองขั้วใหญ่..โลกแห่งที่เรียกตนเองว่าค่ายเสรีนิยม และค่ายสังคมนิยม....รัสเซียได้สถาปนาอำนาจรัฐแดงของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา....

ผู้นำของอเมริกา...ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาซึ่งความเป็นมหาอำนาจใหม่....

อังกฤษ...จากดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน....
กลายเป็น...มหาอำนาจใหม่...ที่เกิดจากเงื้อมมือผู้นำแต่ละฝ่ายในการกำหนดทิศทางประเทศ...

หลังจาก 6 สิงหาคม 1944 ระเบิดลูกแรกที่ทำจากยูเรเนียม 235 โดยแยกยูเรเนียมไว้สองข้างและให้เคลื่อนมาตามท่อเพื่อให้มวลยูเรเนียมมารวมกันใจขนาดที่เรียกว่า...มวลวิกฤต(critical mass)และ ใช้หัวจุดระเบิด.....ก่อเกิดแรงระเบิดเท่ากับที่เอ็นที 20,000 ตัน....ทลาย ฮิโรชิมา ราบเป็นหน้ากลอง....และทรากศพนับล้าน

อีก 3 วันต่อมา 9 สิงหาคม 1944 ระเบิดลูกที่สอง....โดยมีกรรมวิธีผลิต โดยลดมวลของยูเรเนียม 235 ลง เพื่อลดสภาวะที่เรียกว่า มวลวิกฤต และใช้ พลูโตเนียม ที่เป็นไอโซโทป หุ้มไว้...ใช้หัวจุดระเบิดหลายชิ้นล้อมรอบไว้อีกที.....ก่อเกิดแรงระเบิด...เท่ากับที่เอ็นที 22,000 ตัน ....ทลายนางาซากิ ....และชีวิตอีกนับล้าน....และอีกหลายล้านที่รับรังสีโดยตรงและจากฝุ่นกัมมันตรังสีที่กระจายไปในอากาศ....

ภาพของ หนูน้อย...ที่ต้องตกเป็นเหยื่อกัมมันตภาพรังสี....จากโรคมะเร็งร้ายจำนวนมากนั่งพับนกกระดาษ...ตัวแล้วตัวเล่าอย่างมานะพยายาม จาก 1 จนถึง 1,000 ตัว ด้วยความหวังหลังงานแห่งจักรวาลจักช่วยเยียวยาโรคร้าย.....

เหยื่อจากความบ้าคลั่งของผู้ใหญ่....จากผู้นำที่บ้าคลั่งกระหายอำนาจ...

จากนั้น อีก 7 ปี....ในเดือนพฤศจิกายน 1952 อเมริกา ก็สถาปนาอำนาจใหม่ ที่ก้าวข้ามผ่านจากยุคเรือปืนในอดีต...มาสู่ อำนาจแห่ง นโยบายการสั่งสม ศักยภาพ เทอร์โมนิวเคลียร์...

การทดลองระเบิด ไฮโดรเจน ได้สำเร็จ ที่เกาะเอนิเวต็อก มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีแรงระเบิดสูงลิ่ว เทียบเท่าทีเอ็นที 10 ล้านตัน

และที่ร้ายแรงกว่านั้น....ในปี 1961 จากการทดลอง..ที่เกาะโนวายา ซิมลียา ตอนเหนือของรัสเซีย แรงระเบิดเทียบเท่าทีเอ็นที 90 ล้านตัน เกิดคลื่นกระแทกหมุนวนรอบโลกถึง 3 รอบ..อันเป็นการสำแดงอำนาจข่มขวัญค่าย เสรี

นโยบาย การสั่งสมศักยภาพนิวเคลียร์...จึงแพร่หลายออกไป ในแต่ละประเทศมีการสร้างเพื่อเอาไว้ข่มขวัญประเทศที่มีการพิพาทกัน....และถือเป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ...

ผู้นำแต่ละประเทศนิวเคลียร์เหล่านี้...พร้อมที่จะระเบิดโลกทั้งใบให้แหลกเป็นจุล...ด้วยการกดปุ่มเท่านั้นเอง....

แนวความคิดที่ขัดแย้งระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพไอน์สไตน์ และทฤษฎี ควอนตัม นับตั้งแต่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้นำเสนอความคิดทฤษฎี สัมพัทธภาพพิเศษ และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป เมื่อ100ปีที่แล้ว...ก็ยังมีความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบันที่นักฟิสิกส์จากทั่วโลกพยายามหาเหตุผลมาอธิบายในการที่จะเชื่อมกรอบแนวคิดทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน....

ดังนั้นจะขอกล่าวถึงประวัติย่อๆของไอน์สไตน์....และทฤษฎีสัมพัทธภาพคร่าวๆเพื่อเห็นความสัมพันธ์ของกระบวนการคิดในยุคนั้น...


ไอน์สไตน์ เกิดที่เมืองอูล์ม เยอรมนี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1879 จากนั้นย้ายไปอยู่เบอร์ลินและ ย้ายไปอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์....

ค.ศ. 1895 อายุ 16 ปีได้เขียนบทความวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการศึกษาสภาวะอีเทอร์ในสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า....หลังจากสอบเข้าเรียนสถาบันโปลีเทคนิคในซูริคในครั้งแรกไม่ได้และปีต่อมาจึงเข้าเรียนได้หลังจากไปเรียนที่อื่นจนได้รับประกาศนียบัตรความรู้ทั่วไป....และจบการศึกษาจากสถาบันนี้ในปี 1900...

ปีค.ศ.1901 ได้รับการโอนสัญชาติเป็นสวิส.....
ปีค.ศ. 1902 เข้าทำงานในสำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตรกลางของสวิส...และที่นี่เขาต้องสัมผัสกับนวัตกรรมต่างๆที่นำมาจดทะเบียนสิทธิบัตร ไอน์สไตน์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคจะทำหน้าที่วิเคราะห์ถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆของสิทธิบัตรเหล่านี้ เพื่อที่จะอนุมัติในการจดทะเบียน

ปี ค.ศ.1905 ระหว่างที่ทำงานอยู่สำนักงานนี้ ไอน์สไตน์ได้ เขียนงานวิจัยใน 4 เรื่องใหญ่ลงตีพิมพ์ในวารสารฟิสิกส์ของเยอรมนี...ที่ชื่อ Annalen der Physik ต่อเนื่องมาโดยตลอด....

เรื่องที่ลงพิมพ์ ได้แก่......เรื่องแรกคือเรื่องเกี่ยวกับปรากฏการ์โฟโตอิเล็กตริก(ที่ไอน์สไตน์ได้รับโนเบล)......เรื่องที่สองคือเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนที่บราวเนียน(อันเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของไอน์สไตน์ และได้รับการอนุมัติผ่านความเห็นชอบ เป็นการอธิบายถึงหลักการเคลื่อนที่อย่างไม่เป็นระเบียบของโมเลกุลที่เกิดการแพร่กระจาย).....เรื่องที่สามเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ....และเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษเกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนของมวลและพลังงาน...หรือสูตรคณิตศาสตร์ที่โด่งดัง...คือ E=MCกำลังสอง

เรื่องที่นำเสนอต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1905 เป็นเนื้อหาหลักดังได้กล่าวมาข้างต้น....
ปี ค.ศ. 1909 ไอน์สไตน์ลาออกจากสำนักงานสิทธิบัตร....มาเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์...ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเช่นที่ เบอร์น ที่ซูริค และ ที่ ปราก
ปี ค.ศ. 1914 มาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน....ในเยอรมนี..

ไม่มีความคิดเห็น: