วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2550

กระบวนทัศน์องค์รวมพหุภาพ (4)

มิติทึ่7 มิติแห่งองค์รวมของการทับซ้อน(องค์รวมพหุภาพในทางกายภาพ)

ความหมายของคำว่า...พหุภาพ...ในที่นี้หมายถึงการดำรงอยู่ขององค์รวมหลายๆองค์รวมย่อยที่ก่อรูปเป็นการดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์ขององค์รวมใหญ่....และก่อเกิดคุณสมบัติใหม่ที่แตกต่างจากองค์รวมย่อยๆเหล่านั้น....
ตัวอย่างเช่น...เมื่อเรามองดูภาพพิมพ์ภาพหนึ่ง...หรือภาพถ่ายภาพหนึ่งซึ่งสะท้อนและบันทึกเหตุการณ์นั้นๆในลักษณะของความเสมือนจริงตามทางธรรมชาติที่อายตนะเรารับรู้....
แต่เมื่อเราแยกย่อยออกไปเป็นองค์รวมย่อยอย่างหยาบๆ....ในแม่สีต่างๆของการพิมพ์...ก็จะได้ภาพในองค์รวมสีแดง...องค์รวมสีเหลือง...องค์รวมสีน้ำเงิน....องค์รวมสีดำ....องค์รวมสีขาว....และองค์รวมสีทอง...เป็นต้น...
ภาพแต่ละภาพขององค์รวมย่อยๆนั้นล้วนแตกต่างกัน... นอกจากนั้นความเข้มข้นของเม็ดสกรีนก็ยังแตกต่างกัน.....
ในทางธรรมชาติ...เช่นองค์รวมแสงดวงอาทิตย์ที่เป็นสีขาว...เมื่อผ่านปริซึม...เราก็จะเห็นว่าประกอบไปด้วยแสงที่มีสีต่างๆ7สี....และแต่ละสีก็มีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน....
ในฟิสิกส์อนุภาค...ในควอนตัมฟิสิกส์ก็จะมีการจำแนก..แบบชุดตัวเลขและค่าต่างๆอันประกอบเป็นองค์รวมของอนุภาคที่แตกต่างกัน....
ในทางชีววิทยา....องค์รวมทางสารโปรตีนที่ประกอบเป็น ดีเอ็นเอ...ต่างล้วนประกอบไปด้วยองค์รวมพหุภาพย่อยของสารโปรตีนแต่ละชนิด.....
ในทางสังคมก็เช่นกัน...เช่นระบอบประชาธิปไตย....ซึ่งก็คือระบอบองค์รวมพหุภาพในการใช้อำนาจรัฐ...ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
จะเห็นได้ว่า องค์รวมระบอบประชาธิปไตยจะประกอบไปด้วย....องค์รวมย่อยๆของระบอบอำนาจต่างๆ....เช่นอำนาจเผด็จการ อำนาจประชาธิปไตย อำนาจธรรมาธิปไตย เป็นต้น...

หรืออาจกล่าวได้ว่า....
ไม่มีสรรพสิ่งใดๆในจักรวาล....ที่ดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์หรือ สเปก...จะก่อรูปตนเองขึ้นมาอย่างโดดๆโดยไม่ได้ประกอบไปด้วยองค์รวมย่อยๆอื่นๆ....ซึ่งก่อรูปขึ้นมาภายใต้อันตรกิริยากับภายนอก
และยังสัมพันธ์กับผู้สังเกตุนั้นๆด้วย....

......................................


มิติที่8..มิติแห่งการทับซ้อนของเวลา(พหุภาพของเวลา)


จากที่กล่าวมาแล้วถึงมิติที่ 7 เป็นมิติแห่งการทับซ้อนในแง่ของพหุภาพที่ดำรงอยู่ในspace เดียวกัน...สำหรับมิติที่8 จะมองในแง่ของระบบเวลาที่มีการทับซ้อนกันหลายๆระบบในองค์รวมเดียวกัน...

ก็คงได้กล่าวไปบ้างใน...หัวข้อฟิสิกส์ระบำปลายเท้า..
คงจะเป็นการกล่าวสรุปอย่างกว้างๆ....ตามข้อจำกัดของการบันทึกในบล็อก...และการอ่านที่ต้องใช้เวลาสั้นๆ...

ระบบเวลาแห่งจักรวาล

ทฤษฎีปัจจุบันที่ยึดถือทฤษฎีบิ๊กแบงก์ ของสตีเฟน ฮอว์กิน....อธิบายถึงการกำเนิดเวลานับตั้งแต่การระเบิดใหญ่....ภายใต้โครงสร้างแบบจำลองจักรวาลตามแบบจำลองที่สร้างขึ้นจากสมการทางคณิตศาสตร์...หรือแบบจำลองตามสมมติฐานและใช้การอ้างอิงจากค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์....

ข้อจำกัดดังได้กล่าวมาแล้วบางประเด็นใน...หัวข้อ สุนทรียภาพความงามความรัก หรือฟิสิกส์ระบำปลายเท้า..

ข้อสังเกตุต่อสมมติฐานเรื่องการกำเนิดเวลาของบิ๊กแบงก์ : ภายใต้กรอบการวิเคราะห์ในเชิงประจักษ์นิยมตามแบบจำลองทางคณิตศาสตร์

-ประการแรก....การระเบิดใหญ่...เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่หรือไม่....และมีการลดลงหรือการเปลี่ยนแปลงมวลพลังงานในรูปเดิมหรือไม่.....เช่นปฏิกิริยาลูกโซ่ในการระเบิดของระบบสุริยะอันมีพลังงานในระบบความเร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง...หรือ186,000ไมล์ต่อวินาทีจากความเร็วต้นของแรงระเบิดที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วแสงหลายล้านเท่า....

-ความเร็ว ที่สูงกว่าระบบความเร็วแสงใดๆ....ย่อมไม่สามารถตรวจวัดได้ในกรอบเฉื่อยที่มีความเร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง.....
และในทางตรงข้ามความเร็วที่ต่ำกว่าการก่อรูปการทางวัตถุของระบบความเร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง....ย่อมตรวจวัดรูปการทางวัตถุในระบบความเร็วแสงไม่ได้เช่นกัน...

- ก่อนการระเบิดใหญ่.....เวลาของจักรวาลจะนับจากไหน.....ในเมื่อเราเริ่มต้นว่าเมื่อมีการระเบิดใหญ่....ซึ่งหากตามแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ก็จะต้องยอมรับว่ามีสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อนค่าคงที่ที่อ้างอิง......

-การก่อรูปการทางวัตถุใดๆของสรรพสิ่ง....ล้วนเป็นไปตามกรอบความเร็วแห่งระบบในการเคลื่อนที่ของมวลพลังงาน....ที่มีความหลากหลายในระบบของความเร็ว....

-ข้อจำกัดของค่าคงที่ในทางคณิตศาสตร์.....ที่ปัจจุบันยอมรับแล้วว่าแบบจำลองหลุมดำ...ยังมีรูโหว่....ให้แสงเล็ดลอด....นั่นย่อมหมายความว่ามีความเร็วที่แตกต่างหลายระบบ...

- การเกิดขึ้นของความต่อเนื่องของเหตุการณ์ใดๆ....ย่อมมีความต่อเนื่องแห่งการขาดหายไปเกิดขึ้นเช่นกัน.....และสิ่งที่ขาดหายไปนั้นเนื่องจากความแตกต่างแห่งระบบของการก่อรูปมวลพลังงาน...

..........ฯลฯ...........


เวลาและกรอบอ้างอิง

การนับวินาทีแรกของชีวิตทางกายภาพของมนุษย์เผ่าพันธุ์ปัจจุบัน(Homo Sapiens)ที่มีกำเนิดไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆจากเซลล์เดี่ยวของไข่หลังจากการผสมของสเปิร์มและมีการรวมตัวของนิวเคลียส....ก่อรูปการทางกายภาพแห่งสิ่งมีชีวิตชิ้นใหม่ขึ้น.....

นับตั้งแต่เซลล์เดี่ยวของไข่ลอยอ้อยอิ่งมาตามท่อรังไข่....เซลล์กลมสุกใสยังกะเป็นคู่แฝดของดวงจันทร์...หลังรอคอยมาจนครบรอบดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1รอบรอคอยวันแห่งการให้กำเนิดเดือนแล้วเดือนเล่ารอบแล้วรอบเล่าเมื่อผิดหวังก็ต้องหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดทุกรอบที่พระจันทร์โคจรรอบโลกครบ1รอบให้กับความผิดหวัง....

จาก 250ล้านให้เลือกเป็นคู่ครอง...เหลือช่วงสุดท้ายไม่ถึง 100 รายแห่งผู้กล้าที่ยังมีชีวิตรอดที่จะต้องฝ่าด่านสุดท้าย...และในที่สุดก็เหลือเพียงฮีโร่เพียงหนึ่งเดียวที่พิชิตชัยชนะครองใจได้สำเร็จ....

นิวเคลียส...ทั้งสองเคลื่อนที่เข้าหาและรวมตัวกัน...เมื่อดาวพระเคราะห์สีฟ้าโลกหมุนรอบตัวเองได้ครึ่งรอบหรือ12ชั่วโมง

กระบวนการแบ่งเซลล์ก็เริ่มขึ้น....จากร่องรอยทางพันธุกรรมของแต่ละฝ่าย...และเป็นการตกลงกันอย่างปรองดองของทั้งสองฝ่ายที่รวมเป็นหนึ่งเดียว....เธอเอาแขน..ฉันเอาขา...เธอเอาคิ้ว....ฉันเอาคาง...อะไรทำนองนี้.....เมื่อครบ 8 เซลล์ก็เริ่มออกเดินทางแสวงโชคเพื่อหาที่สร้างเรือนหอ...จากท่อรังไข่ใช้เวลาเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเอง2รอบจึงจะหลุดพ้น...ก็ไปถึงทำเลสร้างเรือนหอบริเวณมดลูก

เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองอีก6รอบ...ระบบการกันกระแทกก็สร้างเรียบร้อยเป็นเยื่อใสหุ้มตัวอ่อนที่มีการขยายของเซลล์ไปได้หลายร้อยเซลล์แล้ว...หลังเกี่ยวก้อยอ้อยอิ่งเลือกฮวงจุ้ยและส่วนมากเลือกฮวงจุ้ยบริเวณส่วนยอดของมดลูก...และในที่สุดก็ตัดสินใจลดระดับลงฝังตัวสร้างเรือนหอ....

วินาทีแรก...ในระบบทางกายภาพของชีวิตมนุษย์...จึงน่าจะนับแต่นิวเคลียสทั้งสองได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเป็น zygote...อันเป็นหน่วยแรกทางกายภาพหากจะเปรียบเทียบกับการนับเวลาแบบทฤษฎีบิ๊กแบงก์อันเปรียบเหมือนซิงกูลาริตี้แห่งเอกภพ......

แล้วหน่วยเวลาระบบด้านจิตใจจะนับอย่างไรเพราะในเมื่อมนุษย์ย่อมมีจิตวิญญาณและในร่างกายมนุษย์ต่างล้วนประกอบไปด้วยองค์รวมระบบย่อยๆหลายล้านระบบของหน่วยเซลล์.....แต่ละหน่วยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างก็ล้วนมีองค์รวมที่เกิดขึ้นระหว่างกายภาพและจิตใจประกอบเป็นองค์รวมของหน่วยระบบนั้นๆ.....หมายความว่าระบบย่อยๆต่างล้วนมีระบบจิตใจอันเป็นเฉพาะของตนที่เราไม่อาจจะไปสั่งการได้....หากระบบเหล่านั้นขึ้นต่อเรา...เราเองก็ต้องสั่งให้เซลล์ต่างๆทำงานได้....

หากย้อนกลับไปนับแต่เกิดเซลล์ในแบบยูคาโยต(eukaryotes)ขึ้นมาบนโลกซึ่งเป็นหน่วยเซลล์ที่มีชีวิตที่ใช้ออกซิเจนอันมีนิวเคลียสบรรจุสารพันธุกรรม....เราก็จะต้องดูว่าหน่วยยูคาโยตนี้ก็ต้องมีระบบจิตใจ.....อันประกอบขึ้นเป็นองค์รวม.....ระบบจิตใจในเบื้องต้นก็ย่อมเป็นระบบกลไกการควบคุมการปรับดุลยภาพภายใต้การเคลื่อนที่.....อันเป็นสภาวะของสิ่งมีชีวิตใดๆดำรงอยู่2สถานะเมื่อเราวิเคราะห์แค่องค์รวมนั้นๆก็คือ...การรักษาตนเอง...และการไปพ้นจากตนเอง.....นอกจากนั้นเรายังจะต้องวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกไปพร้อมๆกันกับการวิเคราะห์องค์รวมเซลล์ยูคาโยตนี้....

ข้อมูลทางพันธุกรรมที่อยู่ในนิวเคลียส....มีการสั่งสมพัฒนายกระดับขึ้นเรื่อยๆตามการเปลี่ยนแปลงไปในโครงสร้างสารอินทรีย์และอนินทรีย์อื่นๆจากภายนอก....โครงสร้างของรหัสในการสังเคราะห์สาร...โครงสร้างโมเลกุลสารอันรวมไปถึงพันธะต่างๆที่มีการเปลี่ยนไป....ล้วนมีการสั่งสมจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อๆไป....


วินาทีแรกของเอกภพ...ตามทฤษฎีบิ๊กแบงก์...ที่อธิบายว่าเมื่อ 15,000ล้านปีมาแล้วเอกภพเกิดจากสภาวะที่เรียกว่า ซิงกูลาริตี้ (Singularity) ที่มีมวลสารรวมตัวกันหนาแน่นมีค่าเป็นอนันต์รวมตัวอัดแน่นจนเกิดการระเบิดขึ้น....

โรเจอร์ เพนโรส และสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง กับ จิม ฮาร์เติล ต่างเสนอสมการคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายกระบวนการย้อนเวลากลับที่อธิบายถึงเหตุการณ์ก่อนการยุบตัวของหลุมดำ...และให้คำอธิบายว่าเอกภพเกิดสภาวะซิงกูลาริตี้ที่ทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียว...

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า...มวลสารในเอกภพประกอบด้วยสสารมืด(Dark matter )ถึง90เปอร์เซ็นต์.....และเชื่อว่าสสารมืดเป็นตัวที่ทำให้เกิดการคงรูปของกาแลกซี่....

แนวคิดปัจจุบัน ของนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกและจักรวาลเป็นสิ่งที่มีชีวิต...และมีระบบการปรับตัวเหมือนสิ่งมีชีวิต....เช่น...กลุ่มGaia hypothesis ...ได้แก่ เจมส์ เลิฟลอค (นักเคมี)...ลินน์ มาร์กูลิส (นักชีววิทยาสาวจากมหาวิทยาลัยชิคาโก อเมริกา ผู้ได้รับรางวัลจากผลงานด้านชีววิทยามากมาย)ผู้ตั้งทฤษฎีเกอา(Gaia)เซลล์ยูคาโยต อันเกิดจากความสัมพันธ์แบบซิมไบโอสิสที่พึ่งพาอาศัยกัน......( อ่านเพิ่มเติมใน...จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ เขียนโดย ฟริตจอฟ คราปรา)

นอกจากนั้นยังมีนักวิทยาศาสตร์ด้านเคมี...และชีววิทยาอีกมากที่เสนอแนวคิดแบบนี้...

สำหรับด้านฟิสิกส์....มีนักฟิสิกส์หลายคนที่เห็นว่าเอกภพมีชีวิตเช่น อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ และนาธาน โรเซน ที่เห็นว่าเอกภพมีการคลอดเหมือนเด็กทารกโดยมีทางเชื่อมต่อเหมือนกับสายรก...ที่เรียกว่า รูหนอน (wormhole) มาถึงยุคปัจจุบันเช่น อันเดร ลินส์ จากรัสเซีย สตีเฟ่น ฮอว์กิง จากอังกฤษ....และ ลี สโมลิน จากอเมริกาผู้ผลักดันแนวคิดนี้อย่างแข็งขัน...(จากนิตยสาร Update กรกฎาคม 2537 )

จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า...มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่มีความเชื่อและยอมรับว่า...กระบวนการต่างๆในจักรวาลดำเนินไปในแบบมีชีวิต...

แต่ก็ยังไม่มีใครอธิบายว่า....เมื่อมันมีชีวิตแล้วระบบทางจิตวิญญาณมันเป็นเช่นไร....
จะอธิบายอย่างไร....
จะเชื่อมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทฤษฎีสัมพัทธภาพ ไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัม ได้อย่างไรในการหาค่าประมาณการณ์ของปรากฏการณ์ต่างๆ....ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้....


ดังได้กล่าวมาแล้วในความหมายของคำว่าสัมบูรณ์ และสัมพัทธ์...การทำความเข้าใจระบบเวลาใดๆล้วนสัมพันธ์กับกรอบแห่งการอ้างอิงที่จะต้องทำความเข้าใจในความหมายของคำว่าสัมบูรณ์และสัมพัทธ์....

กรอบอ้างอิงใดๆแห่งการวัดค่าประมาณการล้วนมีการกำหนดกรอบที่มีการเปรียบเทียบในขนาดมิติ(dimension)ที่ดำรงอยู่ในที่ว่างสมมติใดๆ...และการเริ่มต้นกระบวนการไปจนถึงการสิ้นสุดในกระบวนการนั้นๆภายใต้การเปรียบเทียบหรือกรอบของระบบเวลา.....อันรวมกันเป็นการตรวจวัดความต่อเนื่องของกาลาวกาศภายใต้ระบบเดียวกันแห่งการเคลื่อนที่....หรือการเปรียบเทียบกับค่าสัมบูรณ์ภายใต้ขอบเขตุหรือกรอบอ้างอิงใดๆ....เช่น ค่าคงที่ต่างๆ กรอบเฉื่อยที่เป็นกรอบเปรียบเทียบว่าไม่มีความเร่งใดๆทั้งนี้เพื่อที่จะตรวจวัดประมาณการตำแหน่งแห่งที่ที่เคลื่อนที่ไปอย่างสัมพัทธ์ของสิ่งใดๆ....ภายใต้กรอบใหญ่ที่ถือว่าสัมบูรณ์....เป็นต้น

แต่เมื่อเราขยายกรอบอ้างอิงออกไป....สิ่งที่เรียกว่าสัมบูรณ์ก็จะกลายเป็นความสัมพัทธ์ของกรอบอ้างอิงในระบบที่แตกต่างนั้นๆของขอบเขตุกาลาวกาศ...

องค์รวมทางกายภาพของมนุษย์มีการดำรงอยู่หลายระบบของกรอบเวลา....
นับตั้งแต่หน่วยย่อยของเซลล์....ที่มีการเริ่มต้นและสิ้นสุดกระบวนการแตกต่างกันหรือเวลา...แห่งการก่อรูปการและสิ้นสุด...

เซลล์ในแต่ละส่วนของร่างกาย...ล้วนมีระบบแห่งอายุไม่เท่ากัน....
เมื่อมองในแง่องค์รวม...ก็จะเห็นว่านอกจากจะมีระบบองค์รวมทางกายภาพที่สัมพันธ์กับระบบภายนอกแล้ว....มนุษย์ยังมีระบบองค์รวมทางด้านจิตใจ....และองค์รวมทั้งสองประกอบเป็นองค์รวมทั้งหมดของมนุษย์....

การก่อรูปในความสัมพันธ์ทางวัตถุ...หรือสิ่งที่เราตรวจวัดขนาดปริมาณของการก่อรูปมวลพลังงานในทางวัตถุได้....ปัจจุบันเท่าที่เรารับรู้และใช้แบบวิธีการตรวจวัดในเชิงประจักษ์นิยมอยู่ภายใต้...4 สนามแรง...
แต่มนุษย์....ก็ยังมีการก่อรูปการในโลกของทางจิตใจ....อันไม่ขึ้นกับสนามแรงทั้ง4 ดังกล่าว......

หากเรากำหนดกรอบอ้างอิงแคบๆ...เช่นถ้าจะนับการกำเนิดของคนนับแต่การปฏิสนธิ.....หรือการกำหนดกรอบเวลาเริ่มต้นวินาทีแรกจากการที่ ไข่ที่ได้รับการผสมและเคลื่อนตัวไปฝังตัวที่มดลูก...เราก็คงได้คำตอบในการทำความเข้าใจแค่ระดับของความสัมพัทธ์ในกระบวนการหนึ่งๆเท่านั้นเอง....

วินาทีแรก...ของจักรวาล....ถ้าเรานับจากการระเบิดใหญ่ก็เช่นกัน.....
เราก็จะไม่สามารถทราบได้ว่า....ความสัมพันธ์แห่งกระบวนการก่อนเกิดการระเบิดใหญ่เป็นเช่นไร...หากเราถือว่า....นี่คือสัจจธรรมสัมบูรณ์ของจักรวาล....


วินาทีแรกของการก่อรูปการทางวัตถุ...แน่นอนที่สุดก็ย่อมไม่มีรูปการทางวัตถุแห่งระบบนั้นๆดำรงอยู่.......แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพลังงานดำรงอยู่...
ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีมวลพลังงานที่ไหน.....มาก่อรูปการทางวัตถุขึ้นมา....
คงไม่มีสิ่งใดในจักรวาลจะเกิดขึ้นมาลอยๆ...อย่างไม่มีคำอธิบายใดๆในอันตรกิริยาทางความคิดของมนุษย์...

การก่อรูปการทางวัตถุ...ของมวลพลังงานใดๆล้วนประกอบไปด้วยอันตรกิริยาของสิ่งนั้นๆกับสนามแรงภายนอก....
เช่น...รูปการทางวัตถุของระบบที่เร็วกว่าแสงจากดวงอาทิตย์...ย่อมไม่สามารถรับรู้คลื่นอนุภาครังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ในทางวัตถุหรือมวลพลังงานที่ก่อรูปในระบบ....และเป็นเสมือนที่ว่างเท่านั้นเองเนื่องจากการก่อเกิดอันตรกิริยาในระบบของความเร็วที่แตกต่างและมีความเร็วสูงกว่าระบบความเร็วแสงดวงอาทิตย์......


จินตภาพแห่งหลุมดำ

ปัจจุบันเราเชื่อว่า....หลุมดำคือแหล่งที่มีพลังงานสูงมากดูดกลืนพลังงานทุกชนิดที่หลุดเข้าไปแม้แต่แสงยังเล็ดลอดออกมาไม่ได้....

ความเชื่อเช่นนี้...ก็คงพัฒนามาจากเรื่อง...วัตถุดำ...ที่ดูดกลืนรังสีได้สูง...ปัจจุบันนี้ สตีเฟ่น ฮอว์กิง...ได้ยอมรับแล้วว่ามีแสงเล็ดลอดออกได้...

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก....ประเด็นที่สำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจคือ...

การยอมรับว่ามีหลุมดำ....ก็เท่ากับว่ายอมรับว่ามีแหล่งพลังงานที่เหนือกว่าพลังงานที่ใช้ไปในระบบสำหรับให้มวลอนุภาค...เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดที่ความเร็วแสง.....ถ้าพลังงานหลุมดำไม่มากกว่าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะดูดกลืนพลังงานในระบบความเร็วแสงได้....

การดูดกลืนเข้าไปทำให้ระบบความเร็วแสงกลายเป็นส่วนที่ทับซ้อนและขาดหายไปของเหตุการณ์ในระบบใหญ่...ซึ่งมีพลังงานสูงกว่า...ซึ่งก่อรูปการทางวัตถุของระบบความเร็วมากกว่าความเร็วแสง....

ไม่มีสรรพสิ่งใดๆที่ดำรงอยู่บนที่ว่างแห่งเหตุการณ์ในกาลาวกาศ....ก่อเกิดสภาวะเพียงอย่างเดียว...คือการดูดกลืน....

การดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง....ยังมีการส่งออกออกมาข้างนอกและก่อเกิดอันตรกิริยากับภายนอก...
เช่นกันกับหลุมดำ....จินตภาพแบบเดิมๆของหลุมดำที่มีการดูดกลืนอย่างเดียว...ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ของสรรพสิ่งที่จะดำรงตนอยู่อย่างโดดๆเช่นนั้น...ในจักรวาลนี้...

จินตภาพใหม่ในกระบวนทัศน์แบบองค์รวม.....เราจะเห็นว่า พลังงานขนาดมหึมาของระบบความเร็วที่สูงกว่าระบบความเร็วแสงของหลุมดำส่งผ่านออกมาข้างนอก...
ด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วแสง.....หลายเท่า...

ด้วยรูปการทางวัตถุของความเร็วเช่นนี้....รูปการทางวัตถุในระบบความเร็วแสงจึงเป็นเหมือนที่ว่างของสเปก.....เหมือนที่ว่างเปล่าอันไร้แรงต้านทานใดๆต่อมวลอนุภาคในระบบความเร็วมากกว่าแสง...

ไม่ว่าภูเขาทะเล...คน...และสรรพสิ่ง...กลายเป็นที่ว่างเปล่าสำหรับระบบความเร็วที่สูงกว่าอย่างยิ่งยวด...

สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในจักรวาล....และทับซ้อนทะลุผ่านตัวเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน....


เงื่อนไขแห่งการก่อรูปการทางวัตถุ

ในการทำความเข้าใจกระบวนการทางความคิดของมนุษย์.....ถ้าเรากำหนดกรอบการวิเคราะห์ว่าเริ่มวินาทีแรกที่ไข่ได้รับการผสม...จากแชมเปี้ยนที่วิ่งแข่งขันในลู่วิ่งกว่า100ล้าน...ของหน่วยชีวิตที่จะพิชิตหัวใจสาวจากไข่เพียง1เดียว.....การฝ่าด่านค่ายกล...ฝนกรด..และเบสคร่าวิญญาณ...หรือด่านหลุมค่ายกลมรณะต่างๆนาๆของบรรดานักวิ่ง...

แต่ละรายล้วนต้องใช้พลังงานอย่างสูงในการชิงแชมป์เพื่อพิชิตชัยหากพ่ายแพ้นั่นหมายถึงวาระสุดท้ายและเพื่อความอยู่รอด....ผู้ที่มีพลังงานสูงสุดในการแหวกว่ายและบุกเข้าไปในห้องหอเจ้าสาว....ในทันทีทันใดที่เข้าถึงเส้นชัยเพียงรายเดียว....ประตูค่ายกลก็ปิดพร้อมๆกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษให้กับเหล่าผู้กล้าอีก100ล้านต้องมอดม้วย....หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เกี่ยวก้อยกันอย่างอ้อยอิ่งล่องลอยไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์...และก่อร่างสร้างเรือนหอพักพิงที่...มดลูก...เพื่อร่วมกันสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ซึ่งกินเวลาในการสร้างชิ้นส่วนและประกอบอีก9เดือน...

กระบวนการดังกล่าว...ในวินาทีที่เข้าถึงเส้นชัย....การสั่งงานด้วยระบบไฟฟ้าไปยังสมอง...การกระตุ้นผลิตฮอร์โมนและการแลกเปลี่ยนสารต่างๆของเซลล์....ล้วนเป็นไปอย่างรวดเร็ว..

แล้ว...กระบวนการสร้างชิ้นส่วนต่างๆมันมีโปรแกรมหรือไม่......หรือมันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ...

ถ้าท่านอ่านใน ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า...ก็คงจะเข้าใจในกรอบแนวคิดกล่าวคือ
การก่อรูปการทางวัตถุใดๆล้วนแล้ว เกิดจากร่องรอยแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของรูปการทางวัตถุนั้นๆภายใต้กรอบแห่งระบบอ้างอิงใดๆ

ไม่มีความคิดเห็น: