วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า21

ศักยภาพแห่งทุน


หากจะกล่าวถึงทิศทางหลักแห่งการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมแล้ว....ทิศทาง
หลักๆก็คือทิศทางแห่งความรัก....อันเป็นการก่อรูปการพันธะที่เชื่อมโยงมนุษย์กับ
มนุษย์ในสังคม

หากปราศจากความรักที่มนุษย์มีต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากตนเองแล้ว....

การก่อรูปการทางสังคมคงไม่เกิดขึ้น....

จากความรัก...ระหว่างเพศ...สู่ครอบครัว....ชุมชน...สังคม..
ทิศทางแห่งความรักจึงเป็นการก่อรูปการแห่งพันธะที่เชื่อมเป็นโมเลกุลมนุษย์...

ความเข้มแข็ง...แข็งแกร่งขึ้นกับความเหนียวแน่นแห่งพันธะเหล่านี้อันก่อเกิด
รูปการการเรียงตัวหรือบนพื้นฐานแห่งการเกาะเกี่ยวกันด้วยความรัก...ความ
สมานฉันท์...ความเสมอภาค...

ที่โมเลกุลในระดับต่างๆ...เกี่ยวร้อยเป็นองค์เอกภาพเดียวกัน...

เมื่อมนุษย์ถือกำเนิดมา....สิ่งที่ดำรงอยู่ ณ.เวลาปัจจุบันในการวิเคราะห์...ก็
คือ..

ศักยภาพทางกายภาพ....และศักยภาพทางปัญญา-จิตวิญญาณ

ระบบแห่งการประเมินคุณค่าศักยภาพเหล่านี้....เป็นผลมาจากร่องรอยอดีต...
ปัจจุบัน..และร่องรอยแห่งอนาคต อันประกอบเป็นรูปการจิตสำนึกต่างๆในทางสังคม...

ระบบการจัดการในทางสังคมใดๆ....เช่นระบบการเมือง...ระบบเศรษฐกิจ...ระบบทาง
สังคม...วัฒนธรรม...เป็นต้น ต่างล้วนพัฒนามาจาก....การก่อรูปการของกลไกกลางแห่ง
การแลกเปลี่ยนศักยภาพของทุน....

หากเราใช้แบบจำลองในการวิเคราะห์ในแบบเศรษฐศาสตร์การเมือง....เพื่อทำการ
วิเคราะห์แบบแยกส่วน.....อันมีข้อสรุปพื้นฐานว่า...

โครงสร้างชั้นบนและรูปการจิตสำนึกทางสังคมต่างๆ....ก่อเกิดจากรากฐานทางเศรษฐกิจ
อันเป็นรากฐานแห่งการก่อเกิดขึ้นของโครงสร้างชั้นบน...

และเมื่อแยกย่อยลงไป...ถึงกระบวนการพื้นฐานทางเศรษฐกิจ....เราก็จะพบว่า...หน่วย
ย่อยพื้นฐานก็คือคน...

คน...ซึ่งก่อกำเนิดมาด้วยพื้นฐานที่แตกต่างกันและไม่มีใครเหมือนกันเลยทั้งโลกใบ
นี้....

หากมององค์รวมกว้างๆในระดับโมเลกุลหรือสังคมมนุษย์.....ก็จะเห็นลักษณะร่วมที่
เหมือนกัน...
แต่เมื่อแยกย่อย...สู่ระดับอนุภาคหรือระดับมนุษย์แต่ละคน...

แต่ละคน....มีการดำรงอยู่แห่งศักยภาพทางกายภาพ...และศักยภาพทางปัญญา...ไม่เท่า
กัน..
เมื่อวิเคราะห์ในการก่อรูปการทางเศรษฐกิจ...อันมีการแลกเปลี่ยนของคนในสังคมภาย
ใต้อันตรกิริยาต่างๆ...

ศักยภาพที่ก่อเกิดทุน...ของแต่ละคนที่แตกต่างกันตามรูปการจิตสำนึกแห่งระบบคุณ
ค่าทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป....

ศักยภาพทุนทางกายภาพ...และศักยภาพทุนทางปัญญา-จิตวิญญาณ...ที่ประกอบเป็นองค์รวม
ทางกายภาพแห่งทุน...ของแต่ละคน...แต่ละชุมชน...แต่ละสังคม...

ความแตกต่างเหล่านี้....ล้วนเกิดขึ้นจาก...ดุลยภาพที่มีการเคลื่อนที่ของกลไก
กลางการแลกเปลี่ยนศักยภาพของทุน...

รูปการแห่งกระบวนการใช้อำนาจในการจัดการในการควบคุมกลไกกลางการแลกเปลี่ยนเหล่า
นี้....ก็คือรูปการแห่งระบบการปกครองของสังคมนั้นๆ....

ระบบแห่งการควบคุมกลไกกลางการแลกเปลี่ยนที่ดำเนินไป...ในทิศทางหลัก 2 ทิศทาง..


ทิศทางแห่งความรัก....ของมนุษย์ต่อสรรพสิ่ง...
และทิศทางแห่งการสั่งสมเพื่อตัวตน....

การขาดดุลยภาพอันเกิดจากการเบี่ยงเบนทิศทางการพัฒนาไปของกลไกกลางการแลกเปลี่ยน
ศักยภาพแห่งทุน...

เป็นไปทั้งในรูปแบบที่เจตนา....และรูปแบบที่ไม่เจตนา....
ก่อเกิดการสูญเสียประสิทธิภาพสูงสุดแห่งการพัฒนาศักยภาพทุนขององค์รวม...

ก่อเกิด...การแตกแยก..ความไม่เสมอภาคให้กับคนในสังคม...

รวมไปถึง...ความเสมอภาคแบบกลไกและเสรีภาพแบบกลไก....อันเป็นเพียงรูปแบบที่เอื้อ
ประโยชน์เพียงบางกลุ่มที่ควบคุมกลไกกลางเหล่านี้....และทิศทางแห่งความเสมอภาค
แบบกลไก...จุดหมายปลายทางก็คือการแตกแยก...และแรงต้านทานต่างๆจากคนในสังคมที่มี
ต่อเนื่องไปตลอด....

ทิศทางที่ถูกต้องของกลไกกลางการแลกเปลี่ยนศักยภาพทุน...

ก็คือ...ทิศทางแห่งความรัก...ทิศทางแห่งสันติภาพ...

อันเป็นทิศทางแห่งการนำใช้ศักยภาพทุนที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อมวล
มนุษยชาติ...และต่อสรรพสิ่งที่แวดล้อมภายนอก...


ที่ประกอบขึ้นเป็นองค์รวมแห่งโลกใบนี้....




การวิเคราะห์แบบแยกส่วนย่อยลงไปถึงหน่วยพื้นฐานทางสังคม....ซึ่งก็คือคน...และคน
ซึ่งประกอบไปด้วย ศักยภาพทางกายภาพ และศักยภาพทางปัญญา-จิตวิญญาณ ที่ประกอบขึ้น
เป็นองค์รวมของคน

ในการวิเคราะห์ที่แยกส่วนเป็นสาขาวิชาต่างๆ....ในทางเศรษฐศาสตร์ คือการ
วิเคราะห์เรื่องของ ทุน..อันเป็นหน่วยย่อยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ....ในสาขารัฐ
ศาสตร์ จะวิเคราะห์ถึง โครงสร้างการใช้อำนาจเป็นหลัก...และรวมถึงความสัมพันธ์
แห่งอำนาจต่างๆในทางสังคม...

ปัจจุบัน...จากตัวอย่างการพัฒนาทางสังคมมนุษย์นับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันจะเห็น
ได้ว่า....การพัฒนาทางสังคมล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางรากฐานทางเศรษฐกิจ....
การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการผลิต....เทคโนโลยีการสื่อสาร...เป็นต้น..อันก่อ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างชั้นบน...

ในอดีต...แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีการพัฒนาสังคมทั้งเศรษฐกิจและการเมือง...อาจจะ
จำแนกเป็น2ค่ายใหญ่...คือ เสรีนิยม และสังคมนิยม

ในกรอบแนวคิดของค่ายสังคมนิยม ในแนวคิดทางเศรษฐกิจ จะยึดหลักทฤษฎี ของมาร์กซ เป็นหลัก....อันมีข้อจำกัดในแบบการวิเคราะห์ที่เป็นไปแบบทวิลักษณะแบบกลไก

ทุน...และมูลค่า ...ในทัศนะของค่ายนี้...จะมองว่า ก่อขึ้นเมื่อมนุษย์ใช้แรง
งาน...และมีทัศนะที่เชื่อว่ามีแต่ชนชั้นแรงงานเท่านั้นจึงจะมีความคิดที่เป็น
วิทยาศาสตร์....อีกทั้งยังพยากรณ์ว่าระบอบทุนนิยมเป็นระบอบที่ล้าหลัง....จะต้อง
พินาศในที่สุด...

กรอบคิด...ก็มาจากแนวคิดแบบวิวัฒนาการที่เชื่อว่า...การพัฒนาของสังคม...ปรับ
เปลี่ยนจากระบอบที่เรียกว่าทุนนิยม...ไปสู่สังคมนิยม...และจุดมุ่งหมายสุดท้าย
คือการสูญสลายรัฐ...

ในขณะที่กรอบแนวคิดของค่ายเสรีนิยม....ก็เสนอแนวคิดอันเป็นเสรีนิยมแบบกลไก...
หรือเป็นเพียงรูปแบบเป็นเพียงรูปธรรมในทางลายลักษณ์อักษร แต่ในทางการปฏิบัติผู้
ที่ได้เปรียบทางศักยภาพและการควบคุมกลไกกลางการแลกเปลี่ยนทางศักยภาพทุน....ล้วน
เป็นผู้ที่มีเสรี......

ปัจจุบัน....เราจะเห็นว่า เพียงแค่ทารกแรกเกิด....เป็นเพศไหน...ก็จะมีศักยภาพ
ทุนทางกายภาพแตกต่างกันไปตามคุณค่าที่เกิดขึ้นในทางสังคมนั้นๆ....เช่นในเมือง
จีน...เพศชายมีคุณค่าทางศักยภาพทางกายภาพ อันเกิดจากอันตรกิริยาระหว่างทารก กับ
คุณค่าทางสังคมนั้นๆ ....

แค่แรงงาน...ที่เด็กร้องหลังคลอดตามสัญชาติญาณเพื่อความอยู่รอด....ให้ปอดทำงาน
หลังออกมาสู่โลกที่มีอากาศ....จากที่อยู่ในน้ำคร่ำ...
แรงงานเป็นตัวกำหนดมูลค่า...จริงหรือ...?!! หากจะวิเคราะห์แบบแยกย่อยไปถึงหน่วย
มูลฐาน...


ปัจจุบัน...สังคมมนุษย์ พัฒนาก้าวไกลไปสู่อีกระดับของความสัมพันธ์...อันมีความ
สัมพันธ์ในหลายระบบความสัมพันธ์ทางสังคม...เมื่อวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์การ
เมือง...เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของรัฐ จะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ดังนี้

-ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติ
-ความสัมพันธ์ขององค์กรไร้รัฐ(องค์กรเสมือนแห่งรัฐ) -ความสัมพันธ์เครือข่ายแห่งรัฐชาติ
-ความสัมพันธ์ของเครือข่ายองค์กรเสมือนแห่งรัฐ


ปัจจุบัน องค์กรเสมือนแห่งรัฐ...หรือองค์กรไร้รัฐ มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทาง
การพัฒนาของรัฐชาติต่างๆในโลก...เช่น บรรษัทข้ามชาติ...องค์กรเอกชนต่างๆ...
กลุ่มทุนในระดับต่างๆภายในรัฐชาติ เป็นต้น

แนวทาง...นโยบาย...ทิศทางการพัฒนาของรัฐชาติต่างๆล้วนอยู่บนพื้นฐาน การสนองตอบ
ต่อการพัฒนา การขยายตัว ขององค์กรเหล่านี้....

รัฐชาติ...ในฐานะบทบาทที่เป็นกลไกกลางการแลกเปลี่ยนศักยภาพทุนของประชาชนและ
ประชาชาติให้ก่อเกิดดุลยภาพ....จึงเป็นเพียงอุดมการณ์...อุดมคติ....

กรอบแนวคิด...ทฤษฎี...ทิศทาง...แนวทาง...แนวนโยบายแห่งรัฐชาติใดๆ...ล้วนอยู่บน
พื้นฐานหลักการพัฒนาทุนบนพื้นฐานกรอบแห่งลัทธิบริโภคนิยม...

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์...เพื่อบรรลุเป้าหมายการสร้างแรงงานสำรองให้กับองค์กร
เหล่านี้...และแต่ละรัฐชาติ...ต่างล้วนแก้ไขกฎระเบียบทางสังคมเพื่อดึงดูดเงิน
ทุนจากองค์กรเหล่านี้ให้มาลงทุนในประเทศ...ซึ่งแต่ละรัฐชาติต่างล้วนแข่งขัน
กัน...

อุดมคติ....ที่เคยมีต้องเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก.....

เศรษฐศาสตร์แห่งความสุข...การเมืองเพื่อความสุข..มีหรือไม่..??

คำตอบก็คือ...มี....แต่ไม่ทำ..!!! เลือกได้...แต่ไม่เลือก..!!


เมื่อ..องค์กรเสมือนของรัฐ...ต่างล้วนอิงแอบแนบชิดกับผู้กุมอำนาจแห่งรัฐชาติ
ต่างๆ...และเป็นเสมือนจิตวิญญาณ ของผู้กุมกลไกอำนาจรัฐเหล่านี้....

เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ แห่งประชาชาติ ก็เป็นเพียง ลมปากจากนักสิทธิมนุษยชน
จอมปลอมเหล่านี้....


การก่อรูปการทางสังคม หรือการก่อรูปการทางวัตถุของกระบวนการของความสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่งภายนอก...

วัตถุ...ในความหมายในที่นี้หมายถึง....รูปการที่เกิดขึ้นของสิ่งต่างๆกระบวนการ
ต่างๆความสัมพันธ์ต่างๆ...อันสามารถตรวจวัดได้ถึงความแตกต่างจากสิ่งอื่น...

รูปการทางวัตถุที่เกิดขึ้นใดๆ...ล้วนมีหลักการพื้นฐานแห่งการก่อรูปการในทาง
ฟิสิกส์....อันได้แก่

พลังงาน...ที่ดำรงอยู่ในระบบนั้นๆที่เป็นผลจากอันตรกิริยากับสิ่งต่างๆ

ศักยภาพทางกายภาพ และศักยภาพทางปัญญา-จิตวิญญาณ ในมนุษย์ และในทางสังคมแต่ละ
สังคม...ก็คือการดำรงอยู่แห่งพลังงานในการก่อรูปการทางวัตถุนั้นๆ...

เช่นในรูปแบบการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์...ก็ได้แก่ระบบทุน....ศักยภาพแห่งทุน
ที่ดำรงรงอยู่ของมนุษย์ และของสังคม....ในทางรัฐศาสตร์ ได้แก่ระบบการเมืองการ
ปกครองต่างๆ....ในรูปการจิตสำนึกต่างๆก็ได้แก่...วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่ดำรง
อยู่ภายใต้การสั่งสมมายาวนานในทางประวัติศาสตร์แห่งการพัฒนาของมนุษยชาติ...

นอกจากจะตรวจวัดในความแตกต่างของระบบพลังงานที่ดำรงอยู่รวมทั้งความสัมพันธ์ที่
เกิดขึ้นจากกลไกกลางแห่งการแลกเปลี่ยนศักยภาพ....

การเปลี่ยนแปลงของระบบสังคม....ยังมีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นไปตามหลักการพื้นฐาน
ทางฟิสิกส์อีกประการหนึ่งกล่าวคือ...เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนไปของ
ระดับพลังงานทางสังคมที่ดำรงอยู่ในสังคมนั้น

การเปลี่ยนแปลงในทางสังคม ที่มีวิวัฒนาการระบบการผลิตในทางสังคมและการพัฒนา
รูปการจิตสำนึก จากสังคมบรรพกาล สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม(สังคมที่มี
ความเข้มข้นแห่งการผูกขาดการควบคุมกลไกกลางการแลกเปลี่ยนศักยภาพทุน) และสู่ยุค
ปัจจุบัน สังคมบริโภคนิยม(สังคมการบริโภคแบบเสมือน)ล้วนแล้วเป็นการเปลี่ยนไป
แห่งระดับของศักย์ ทางกายภาพ และระดับศักย์ทางปัญญา-จิตวิญญาณ ที่สังคมนั้นๆ
เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

การประเมินศักยภาพทางกายภาพและศักยภาพทางปัญญา-จิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ในสังคม อัน
ประกอบเป็นองค์รวมทางสังคมหนึ่งสังคมใด....ล้วนเป็นไปอย่างมีการเปรียบเทียบ...
หรือสัมพัทธ์

คุณค่า ที่ตรวจวัด ย่อมตรวจวัดได้จากขอบเขตุความสัมพันธ์ที่กว้างขวางขึ้น หรือ
มีขอบเขตุแห่งการขยายออกไปจากตัวตนกว้างขวางขึ้น....

ระบบคุณค่าทางสังคมใด...ที่มีกรอบกระบวนทัศน์อันขยายกว้างขวางขึ้นไปสู่การรับ
รู้แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสรรพสิ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน...ย่อม
เป็นระบบที่มีทิศทางแห่งการยกระดับการพัฒนาที่สูงขึ้น...เมื่อเปรียบเทียบกับจุด
เริ่มต้นแห่งการก่อรูปการทางสังคมมนุษย์และมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ......

ระบบที่ก่อให้มนุษย์ในสังคมนั้นๆ....ดำรงชีวิตได้ด้วยความมีเสรี....แห่งดุลยภาพ
ทางกายภาพและทางปัญญา....บนพื้นฐานแห่งความสุขที่ได้รับในกระบวนการทางสังคม
นั้นๆพร้อมๆไปกับสังคมภายนอก.....

ระบบสังคมที่ว่านี้....ย่อมเป็นสังคมที่มีขนาดและปริมาณของพลังงานที่สูงกว่า
สังคมที่พัฒนาไปไม่ถึงขั้นนี้....

สังคมบางสังคม...แม้ว่าทางกายภาพจะพัฒนาสูงด้วยเทคโนโลยีทันสมัย...แต่มนุษย์ใน
สังคมก็ยังขาดเสรี....หมายถึงเสรีที่จะดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข...

เมื่อกล่าวโดยองค์รวมแห่งสังคมแล้ว....สิ่งที่จะชี้วัดระดับขนาดปริมาณและคุณภาพ
ของพลังงานแห่งระบบสังคมนั้นย่อมต้องประกอบไปด้วย องค์รวมศักยภาพที่ดำรงอยู่ทาง
กายภาพและทางจิตวิญญาณแห่งสังคมนั้นๆ

เราไม่อาจกล่าวได้ว่า....สังคมโจร..ที่อาศัยการปล้นฆ่า และผลิตเทคโนโลยีแห่งการ
เข่นฆ่ามนุษย์ด้วยความทันสมัย....เป็นสังคมที่มีระบบพลังงานสูง.....เมื่อเรามอง
แบบองค์รวมถึงระดับการพัฒนาทางด้านจิตใจ....หรือจิตสำนึกในสังคม...

การก่อรูปการทางสังคมแบบโจร...ก็เกิดจากทิศทางที่บิดเบี้ยวแห่งการก่อรูปการทาง
สังคมนั้น...

นอกจากนี้...หลักการทั่วไปในทางฟิสิกส์แห่งการก่อรูปการทางวัตถุใดๆ...ยังมี
ประเด็นที่ต้องวิเคราะห์คือ...

รูปการทางวัตถุแห่งระบบปัจจุบันใดๆ....เป็นการก่อรูปการขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น...ณ.
เวลาอ้างอิงปัจจุบัน....

การเกิดรูปการใหม่ในปัจจุบัน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรูปการของอดีต...

หากแต่ว่าบทบาทของอดีต....มีส่วนสำคัญต่อทิศทางแห่งการพัฒนาไป ณ.เวลา
ปัจจุบัน...

ดังนั้น....รูปการแห่งการพัฒนาไปในปัจจุบันของสังคม...จึงประกอบไปด้วย

ทิศทางของร่องรอยแห่งอดีต....ทิศทางแห่งการกระทำการปฏิบัติทางสังคมแห่ง
ปัจจุบัน...และรวมไปถึง ทิศทางแห่งความไฝ่ฝันหรือร่องรอยแห่งอนาคต....

ประกอบกันขึ้น...เป็นองค์รวมแห่งกระบวนทัศน์ของคนส่วนใหญ่ในทางสังคมปัจจุบัน...

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า20

....................................


ฟิสิกส์โลกทางสังคมมนุษย์


ในการศึกษาในทางสังคมศาสตร์...มีการจำแนกการศึกษาออกเป็นหลากหลายสาขาวิชาการมาก
มายในการศึกษาปรากฎการณ์ในรูปแบบที่มนุษย์อยู่ร่วมกันก่อรูปการเป็นสังคมขึ้น
มา....

ตัวแบบทางทฤษฎีในการศึกษาก็มีมากมายเช่นการวิเคราะห์ในลักษณะโครงสร้าง การ
วิเคราะห์กระบวนการที่ก่อเกิดพลวัตรหรือความขัดแย้งต่างๆ การวิเคราะห์แบบ
สัญญลักษณ์ต่างๆ การวิเคราะห์หาลักษณะปรากฎการณ์จากหน่วยพื้นฐานต่างๆ...การ
วิเคราะห์ในแบบกระบวนการวิวัฒนาการเป็นต้น...นับตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ จิตวิทยาสังคม ฯลฯ อันเป็นการศึกษาเจาะ
ลึกลงไปถึงพฤติกรรมและปรากฏการณ์ของมนุษย์ในสังคม

สัมพันธภาพของความสัมพันธ์ต่างๆที่ก่อรูปการขึ้นภายใต้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ นับตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน สังคมประเทศ และสังคมโลก....ก่อเกิดวัฒนธรรม
อันหลากหลายที่เกิดจากกระบวนการก่อรูปการขึ้นมาของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่น...ใน
แต่ละสังคม....

สังคมมนุษย์ก็มีทิศทางแห่งการพัฒนาอันเป็นไปตามกฎเกณท์ทางฟิสิกส์....เช่นเดียว
กันกับองค์รวมระดับโมเลกุล...ในสิ่งต่างๆอันมีคุณภาพองค์รวมแตกต่างจากองค์รวม
ย่อยของอนุภาค....

องค์รวมมนุษย์ หนึ่งคน..ย่อมแตกต่างจากลักษณะองค์รวมของมนุษย์หลายคนที่ประกอบ
เป็นสังคม...รวมทั้งกฎเกณท์การพัฒนาที่มีขอบเขตุของขนาดและคุณภาพที่แตกต่างออก
ไป....

การวิเคราะห์อย่างกว้างๆ....จะเห็นได้ว่าการก่อรูปการทางวัตถุใดๆในทางสังคมก็
เป็นไปตามทิศทางแห่งการก่อรูปการนั้นๆ.....ทิศทางแห่งการพัฒนาไป และทิศทางแห่ง
การเสื่อมสลาย....หรือทิศทางแห่งการเพิ่มขึ้นของขอบเขต..ขนาด..ความเร็ว..และ
พลังงานต่างๆในการก่อรูปการทางสังคม....และทิศทางของการลดขอบเขต...ขนาด...ความ
เร็ว...และพลังงานต่างๆในการก่อรูปการทางสังคม..

สังคม...ณ.เวลาปัจจุบันใดๆ....ล้วนเป็นการก่อรูปการขึ้นใหม่...ภายใต้การแสวงหา
ดุลยภาพที่มีการเคลื่อนที่....โดยมีร่องรอยแห่งรูปการของอดีต(ประวัติศาสตร์,
มรดกวัฒนธรรม,ประเพณี.ความเชื่อฯลฯ)...รูปการปัจจุบันแห่งสังคม(ปฏิบัติการต่างๆ
ในปัจจุบัน)...และร่องรอยแห่งอนาคต(อุดมคติ,อุดมการณ์,จุดมุ่งหมาย,ทฤษฎี,วิทยา
การและนวัตกรรม ฯลฯ )....ก่อรูปการใหม่เป็นทิศทางแห่งสังคมปัจจุบันที่กำลังก้าว
ไป....

ร่องรอยแห่งอดีต...มีบทบาทสูงมากในการก่อรูปการทางสังคม...และมีบทบาทต่อการ
กำหนดทิศทางแห่งอนาคตของสังคมนั้นๆ....

สงครามก็คือตัวอย่างที่เด่นชัดแห่งการรุกรานทางวัฒนธรรมในทางสังคม....สงครามใดๆ
ล้วนเกิดจากการขาดดุลยภาพในทางวัฒนธรรมของสังคมอันเนื่องจากอัตตาแห่งกลุ่มคนใน
สังคม....

วัฒนธรรมก็คือรากฐานแบบวิธีประพฤติปฏิบัติใดๆ...ของคนในสังคม...

อันก่อเกิดจาก...ร่องรอยแห่งอดีต...และร่องรอยแห่งอนาคต...และก่อรูปการขึ้นใหม่
ตามหลักการทางฟิสิกส์.....ที่เป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ภายใต้กระบวนแห่งการ
พัฒนา....


แบบวิธีวิเคราะห์ทางสังคมเป็นการทำความเข้าใจในสัมพันธภาพของกระบวนการต่างๆทาง
สังคม...เพื่อทำความเข้าใจในการนำมาประยุกต์ใช้.....

ในการประยุกต์เพื่อวิเคราะห์...คาดหมาย...พยากรณ์แนวโน้มหรือการสร้างแบบจำลอง
แห่งการพัฒนา....การปรับปรุงการสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆการปรับปรุงองค์กรต่างๆทาง
สังคม...ล้วนแล้วมีเรื่องหลักที่จะต้องวิเคราะห์......ก็คือการทำความเข้าใจใน
เรื่อง....ทิศทาง.....กล่าวคือ...ทิศทางใหญ่...ทิศทางเล็ก....และทิศทางย่อยๆลง
ที่กำกับการปฏิบัติในแต่ละระยะ....

จุดมุ่งหมาย...อุดมคติ...อุดมการณ์...แนวทาง...นโยบาย....เข็มมุ่ง...หนทาง...
ยุทธศาสตร์...ยุทธวิธี...กลยุทธ์...มาตรการ....ฯลฯ....

ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นการกำหนดทิศทางแห่งองค์รวมแต่ละองค์รวมจะต้องเดินไปภายใต้
การคาดหมายและการกำหนดแบบวิธีปฏิบัติในทางสังคม...หรือกระบวนแห่งการสร้างร่อง
รอยเพื่อดำเนินไปสู่อนาคต.....

จากเซลล์เดียวของไข่ที่ได้รับการผสมและพัฒนามาเป็นมนุษย์....สัตว์ที่เติบโตมา
จากเซลล์เดียวเผ่าพันธุ์นี้....ที่มีส่วนประกอบของอนุภาคที่ไม่ต่างจากสิ่งอื่นๆ
ภายยังมีลักษณะของการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม...และมีการก่อรูปการทางสังคมขึ้นไม่
ต่างจากโมเลกุลของอนุภาค.....

ลักษณะสำคัญที่ทำให้ก่อเกิดระบบสังคม...ก็คือระบบองค์รวมของสิ่งต่างๆในธรรมชาติ
มีพัฒนาการไปบนพื้นฐานแห่งการปรับดุลยภาพตลอดเวลาเพื่อให้เกิดการดำรงอยู่และ
เกิดการเคลื่อนที่ไป....ภายใต้อันตรกิริยากับภายนอก...ที่มีการแปรเปลี่ยนไปเช่น
กันตลอดเวลา

โมเลกุลทางสังคม...หรือระบบความสัมพันธ์ทางชีวภาพของสังคมมนุษย์...มีระบบแห่ง
การสื่อสาร...ระบบเศรษฐกิจ...การเมือง...และระบบทางสังคมต่างๆ..เป็นส่วนเชื่อม
ความสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับพันธะทางฟิสิกส์เคมี.....


ในการศึกษาในทางสังคมศาสตร์...มีการจำแนกการศึกษาออกเป็นหลากหลายสาขาวิชาการมาก
มายในการศึกษาปรากฎการณ์ในรูปแบบที่มนุษย์อยู่ร่วมกันก่อรูปการเป็นสังคมขึ้น
มา....

ตัวแบบทางทฤษฎีในการศึกษาก็มีมากมายเช่นการวิเคราะห์ในลักษณะโครงสร้าง การ
วิเคราะห์กระบวนการที่ก่อเกิดพลวัตรหรือความขัดแย้งต่างๆ การวิเคราะห์แบบ
สัญญลักษณ์ต่างๆ การวิเคราะห์หาลักษณะปรากฎการณ์จากหน่วยพื้นฐานต่างๆ...การ
วิเคราะห์ในแบบกระบวนการวิวัฒนาการเป็นต้น...นับตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ จิตวิทยาสังคม ฯลฯ อันเป็นการศึกษาเจาะ
ลึกลงไปถึงพฤติกรรมและปรากฏการณ์ของมนุษย์ในสังคม

สัมพันธภาพของความสัมพันธ์ต่างๆที่ก่อรูปการขึ้นภายใต้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ นับตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน สังคมประเทศ และสังคมโลก....ก่อเกิดวัฒนธรรม
อันหลากหลายที่เกิดจากกระบวนการก่อรูปการขึ้นมาของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่น...ใน
แต่ละสังคม....

สังคมมนุษย์ก็มีทิศทางแห่งการพัฒนาอันเป็นไปตามกฎเกณท์ทางฟิสิกส์....เช่นเดียว
กันกับองค์รวมระดับโมเลกุล...ในสิ่งต่างๆอันมีคุณภาพองค์รวมแตกต่างจากองค์รวม
ย่อยของอนุภาค....

องค์รวมมนุษย์ หนึ่งคน..ย่อมแตกต่างจากลักษณะองค์รวมของมนุษย์หลายคนที่ประกอบ
เป็นสังคม...รวมทั้งกฎเกณท์การพัฒนาที่มีขอบเขตุของขนาดและคุณภาพที่แตกต่างออก
ไป....

การวิเคราะห์อย่างกว้างๆ....จะเห็นได้ว่าการก่อรูปการทางวัตถุใดๆในทางสังคมก็
เป็นไปตามทิศทางแห่งการก่อรูปการนั้นๆ.....ทิศทางแห่งการพัฒนาไป และทิศทางแห่ง
การเสื่อมสลาย....หรือทิศทางแห่งการเพิ่มขึ้นของขอบเขต..ขนาด..ความเร็ว..และ
พลังงานต่างๆในการก่อรูปการทางสังคม....และทิศทางของการลดขอบเขต...ขนาด...ความ
เร็ว...และพลังงานต่างๆในการก่อรูปการทางสังคม..

สังคม...ณ.เวลาปัจจุบันใดๆ....ล้วนเป็นการก่อรูปการขึ้นใหม่...ภายใต้การแสวงหา
ดุลยภาพที่มีการเคลื่อนที่....โดยมีร่องรอยแห่งรูปการของอดีต(ประวัติศาสตร์,
มรดกวัฒนธรรม,ประเพณี.ความเชื่อฯลฯ)...รูปการปัจจุบันแห่งสังคม(ปฏิบัติการต่างๆ
ในปัจจุบัน)...และร่องรอยแห่งอนาคต(อุดมคติ,อุดมการณ์,จุดมุ่งหมาย,ทฤษฎี,วิทยา
การและนวัตกรรม ฯลฯ )....ก่อรูปการใหม่เป็นทิศทางแห่งสังคมปัจจุบันที่กำลังก้าว
ไป....


ร่องรอยแห่งอดีต...มีบทบาทสูงมากในการก่อรูปการทางสังคม...และมีบทบาทต่อการ
กำหนดทิศทางแห่งอนาคตของสังคมนั้นๆ....
สงครามก็คือตัวอย่างที่เด่นชัดแห่งการรุกรานทางวัฒนธรรมในทางสังคม....สงครามใดๆ
ล้วนเกิดจากการขาดดุลยภาพในทางวัฒนธรรมของสังคมอันเนื่องจากอัตตาแห่งกลุ่มคนใน
สังคม....


วัฒนธรรมก็คือรากฐานแบบวิธีประพฤติปฏิบัติใดๆ...ของคนในสังคม...
อันก่อเกิดจาก...ร่องรอยแห่งอดีต...และร่องรอยแห่งอนาคต....
และก่อรูปการขึ้นใหม่ตามหลักการทางฟิสิกส์.....ที่เป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์
ภายใต้กระบวนแห่งการพัฒนา....



แบบวิธีวิเคราะห์ทางสังคม


เป็นแบบวิธีการการทำความเข้าใจในสัมพันธภาพของกระบวนการต่างๆทางสังคม...เพื่อทำ
ความเข้าใจในการนำมาประยุกต์ใช้.....

ในการประยุกต์เพื่อวิเคราะห์...คาดหมาย...พยากรณ์แนวโน้มหรือการสร้างแบบจำลอง
แห่งการพัฒนา....การปรับปรุงการสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆการปรับปรุงองค์กรต่างๆทาง
สังคม...ล้วนแล้วมีเรื่องหลักที่จะต้องวิเคราะห์......ก็คือการทำความเข้าใจใน
เรื่อง....ทิศทาง.....กล่าวคือ...ทิศทางใหญ่...ทิศทางเล็ก....และทิศทางย่อยๆลง
ที่กำกับการปฏิบัติในแต่ละระยะ....

จุดมุ่งหมาย...อุดมคติ...อุดมการณ์...แนวทาง...นโยบาย....เข็มมุ่ง...หนทาง...
ยุทธศาสตร์...ยุทธวิธี...กลยุทธ์...มาตรการ....ฯลฯ....ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นการ
กำหนดทิศทางแห่งองค์รวมแต่ละองค์รวมจะต้องเดินไปภายใต้การคาดหมายและการกำหนดแบบ
วิธีปฏิบัติในทางสังคม...หรือกระบวนแห่งการสร้างร่องรอยเพื่อดำเนินไปสู่
อนาคต.....

จากเซลล์เดียวของไข่ที่ได้รับการผสมและพัฒนามาเป็นมนุษย์....สัตว์ที่เติบโตมา
จากเซลล์เดียวเผ่าพันธุ์นี้....ที่มีส่วนประกอบของอนุภาคที่ไม่ต่างจากสิ่งอื่นๆ
ภายยังมีลักษณะของการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม...และมีการก่อรูปการทางสังคมขึ้นไม่
ต่างจากโมเลกุลของอนุภาค.....

ลักษณะสำคัญที่ทำให้ก่อเกิดระบบสังคม...ก็คือระบบองค์รวมของสิ่งต่างๆในธรรมชาติ
มีพัฒนาการไปบนพื้นฐานแห่งการปรับดุลยภาพตลอดเวลาเพื่อให้เกิดการดำรงอยู่และ
เกิดการเคลื่อนที่ไป....ภายใต้อันตรกิริยากับภายนอก...ที่มีการแปรเปลี่ยนไปเช่น
กันตลอดเวลา

โมเลกุลทางสังคม...หรือระบบความสัมพันธ์ทางชีวภาพของสังคมมนุษย์...มีระบบแห่ง
การสื่อสาร...ระบบเศรษฐกิจ...การเมือง...และระบบทางสังคมต่างๆ..เป็นส่วนเชื่อม
ความสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับพันธะทางฟิสิกส์เคมีต่างๆที่เชื่อมอนุภาคเป็นโครง
สร้างโมเลกุล.......

ในการวิเคราะห์เพื่อหาทิศทางที่จะก่อให้เกิดทางเลือกที่ดีที่สุดกับการก่อรูปการ
ทางสังคม...มีหัวข้อที่ต้องวิเคราะห์หลักๆดังนี้...


1.การวิเคราะห์ทิศทาง ....ได้แก่ทิศทางหลัก...ทิศทางย่อยๆ...ทิศทางเลือก
ต่างๆ...เป็นต้น อันประกอบไปด้วยการวิเคราะห์

-ร่องรอยแห่งอดีต...อันเป็นส่วนที่จะบ่งบอกถึงทิศทาง

-ร่องรอยแห่งอนาคต....อันบ่งบอกถึงทิศทางและแนวโน้ม

-แบบวิธีปฏิบัติในปัจจุบัน.....อันบ่งบอกถึงข้อแห่งการกระทำปัจจุบัน

-ศักย์ที่ดำรงอยู่......ได้แก่ค่าแห่งศักยภาพทางกายภาพทางสังคม และศักยภาพทาง
ปัญญา,จิตวิญญาณทางสังคมนั้นๆ...อันก่อเกิดระบบแห่งการแลกเปลี่ยนศักยภาพ
นั้นๆ...การประเมินคุณค่า...การเปรียบเทียบต่างๆ.....สัมพันธภาพต่างๆ...เป็น
ต้น

-ลักษณะของความสัมพันธ์และระบบ....เช่นระบบสื่อสาร...

-การเปลี่ยนแปลงและทิศทางภายใต้การเคลื่อนที่

-มิติของเงา,มิติวงแหวน,มิติการทับซ้อน(พหุภาพกายภาพ),มิติการทับซ้อนเวลา(พหุ
ภาพเวลา)และมิติองค์รวมพหุภาพ(องค์รวมทางกายภาพและจิตวิญญาณทางสังคม)

2.หลักการทั่วไปทางฟิสิกส์ของการเปลี่ยนแปลง
( ดังได้กล่าวในรายละเอียดมาแล้ว...เช่นพลังงานความเร็วของระบบ..หรือศักยภาพ
ต่างๆที่ดำรงอยู่ในทางสังคมอันเป็นเงื่อนไขการก่อรูปการทางวัตถุในระบบ )

3.การประยุกต์ หรือการเลือกทิศทาง


เช่น...การสร้างองค์ความรู้ใหม่ใดๆ....ก็ต้องคำนึงถึงทิศทางอันก่อให้เกิดการ
พัฒนาสูงขึ้นของระบบที่สอดคล้องกับการพัฒนาไปของภายนอก...และองค์ความรู้ใดๆล้วน
ประกอบไปด้วย ร่องรอยอดีตหรือประวัติศาสตร์(ที่เก็บรับบทเรียน),ร่องรอยการกระทำ
ปัจจุบัน(การลงมือทดลองปฏิบัติเพื่อหาข้อสรุป)และร่องรอยแห่งอนาคต(การสร้าง
สรรค์,การรังสรรค์,ทฤษฎี,จินตนาการ,นโยบายมาตรการทุกชนิดเป็นต้น)....

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า19

..........................


จากการวิเคราะห์โครงสร้างการก่อรูปการของอารมณ์แห่งความงามความรักบนการ
วิเคราะห์รูปธรรมแห่งอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกเสมือน...เป็นแบบวิธีวิเคราะห์
แบบหนึ่งที่เรียกว่า...การวิเคราะห์สิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม....

ภายใต้การวิเคราะห์หากฎเกณท์...จากเฉพาะสู่ทั่วไป.....

เราจะเห็นได้ว่ารูปธรรมต่างๆที่เพื่อนๆในบล็อกได้แสดงออกมาเป็นตัวอักษรในการ
สื่อถึงอารมณ์อันก่อเกิดสุนทรียภาพความงามความรัก....อันได้แก่....รูปการของ
ความผูกพันต่างๆ....ความใกล้ชิดในรูปแบบต่างๆเช่นอารมณ์ความรู้สึกที่มีความ
คล้ายคลึงกัน..หรือการมีลักษณะร่วมกัน....มิตรภาพ...ความประทับใจต่างๆ....เป็น
ต้น

จากการวิเคราะห์เราจะเห็นได้ว่า....การก่อรูปการทางวัตถุหรืออารมณ์บนโลกแห่ง
ความคิดหรือจิตใจ...รูปการทางวัตถุที่เกิดขึ้นเป็นการเกิดขึ้นโดยมีการประกอบกัน
ขึ้นมาใหม่จากอารมณ์ต่างๆในอดีต...ปัจจุบัน...และความไฝ่ฝันหรืออนาคต....เป็น
รูปการใหม่ที่เกิดขึ้นของอารมณ์แห่งสุนทรียภาพความงามความรัก....การเกิดขึ้นของ
รูปการทางวัตถุบนระบบความคิดหรืออารมณ์.....เป็นการก่อรูปการในลักษณะของกระบวน
การหลอมรวม....หรือกระบวนการฟิวชั่นโดยมีทิศทางแห่งการพัฒนาที่สูงขึ้น...


ในทางตรงข้าม....การก่อรูปการทางวัตถุที่มีทิศทางตรงข้ามเป็นการเกิดจากกระบวน
การลดลงของพลังงานองค์รวมระบบและเป็นกระบวนการแยกย่อยลงขององค์รวมหรือกระบวนการ
ฟิชชั่น....

นั่นคือ เราพอจะสรุปหลักการเบื้องต้นทั่วไปดังกล่าว....คือ...กระบวนทางด้านความ
คิดหรือจิตใจซึ่งเป็นกระบวนการก่อรูปการทางวัตถุของระบบที่มีความเร็วสูงกว่า
ระบบการก่อรูปการทางกายภาพ....การก่อรูปการของระบบความคิดที่มีทิศทางการพัฒนา
สูงขึ้นของจิตใจหรือ...รูปการแห่งความรักที่ออกไปจากตัวตน...การก่อรูปการใหม่
ที่สูงขึ้นเป็นผลจากการหลอมรวมของพลังงานทั้งระบบของกรอบการวิเคราะห์......

มนุษย์...สามารถที่จะพัฒนาและสร้างเสริมศักยภาพเพื่อสร้างเงื่อนไขแห่งการก่อ
รูปการในทิศทางที่ดีงามได้....

การก่อรูปการแห่งความเชื่อ...ทางศาสนาก็เช่นกัน...

มนุษย์เมื่อ 2-3 พันปีที่แล้ว...ได้คำอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆในรูปของความเชื่อ
ทางศาสนา...โดยมีการอธิบายในเชิงสัญญลักษณ์เปรียบเทียบ

ในความหมายถึง...พลังงานต่างๆที่ดำรงอยู่ในทางธรรมชาติที่มนุษย์สัมผัสได้ด้วย
จิตใจและจิตวิญญาณแต่ละคน....และได้ให้ความหมายในเชิงสัญญลักษณ์อันหมายถึงพระ
เจ้า...

เช่นเดียวกันกับการอธิบายในทางฟิสิกส์ปัจจุบัน...เราทราบว่ามีพลังงานดำรงอยู่ใน
จักรวาล..

ในพระคัมภีร์ศาสนา...ที่มีบันทึกมาหลายพันปีจากอดีต...พระเจ้าย่อมหมายถึง
พลังงานที่ดำรงอยู่ที่มนุษย์สัมผัสได้.....

แบบวิธีการสัมผัสกับพลังงานในจักรวาลในการทำความเข้าใจทางฟิสิกส์เช่นการทดลอง
ต่างๆ.......ในแบบวิธีทางศาสนาจะเป็นแบบพิธีกรรมเป็นรูปแบบหลักในการปฏิบัติ...

พิธีกรรมต่างๆ....อันเป็นกระบวนแห่งการก่อรูปการทางจิตหรือการปฏิบัติการทาง
จิต...หรือกระบวนการฟิวชั่นทางจิตเพื่อหลอมรวมให้จิตใจของแต่ละคนเกิดคุณสมบัติ
พิเศษขึ้น....อันเกิดจากพลังงานแห่งกระบวนการฟิวชั่นในทางจิต....

อันได้แก่...การอธิษฐาน การอ่านทำความเข้าใจพระคัมภีร์ การนมัสการ หรือกระบวน
การที่ในคัมภีร์ที่กล่าวถึงการยึดมั่นหรือติดสนิทกับพระเจ้า...ความศรัทธา ความ
ยึดมั่น ความยำเกรงต่างๆล้วนเป็นกระบวนการที่ก่อรูปการแห่งความเชื่อมั่นในระบบ
จิตใจอันก่อเกิดพลังงานและความมีสมาธิ....ความสงบนิ่ง....ความปิติ...ความสงบ
เยือกเย็นในจิตใจ.....ให้เกิดการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลังงานต่างๆ
เหล่านั้น....

อันเป็นผลให้กระบวนการทางจิตคนๆนั้นก่อเกิดอันตรกิริยากับพลังงานที่ดำรงอยู่ใน
การก่อเกิดรูปการทางจิตที่มีพลังงานของระบบสูงขึ้น...

ตัวอย่างเช่น...ในพระคัมภีร์ศาสนาคริสต์
ยากอบ 1:5 “ ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ทรง
โปรดประทานให้แก่คนทั้งปวง ด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับ
สิ่งที่ทูลขอ ”

จะเห็นได้ว่า การสัมผัสในกระบวนการทางจิตของคนในยุคนั้นและมีการบันทึกไว้

หมายความว่าพลังงานที่ดำรงอยู่ในจักรวาล อันไม่จำกัดต่อผู้หนึ่งผู้ใด....หรือ
สัจจธรรมใดๆที่ดำรงอยู่...การก่อรูปการใดๆอยู่ที่คุณภาพในกระบวนการทางจิตของแต่
ละคนที่จะนำเอาพลังงานที่ดำรงอยู่มาก่อรูปการให้เป็นประโยชน์แก่ตนได้อย่างไร
เท่านั้น...หรือในการทำความเข้าใจในสิ่งที่เป็นไปเหล่านั้นในธรรมชาติ

พระเจ้า...ก็เช่นเดียวกับ...นิพพาน ของพุทธศาสนา.....อันเป็นการดำรงอยู่ของ
พลังงานในธรรมชาติไม่เอนเอียงหรือมีอคติต่อผู้ใด...

เพราะเป็นสภาวะที่กระบวนการทางจิตนั้นๆไม่สามารถก่อรูปการด้วยตนเองหรือเกิดการ
ดับสูญแล้วซึ่งกิเลสต่างๆ....
แต่พลังงานเหล่านั้นยังดำรงอยู่เป็นบ่อเกิดแห่งการก่อรูปการต่างๆ.....ตามร่อง
รอยของสิ่งต่างๆ....หรือตามแต่กรรมหรือการกระทำ...ของสิ่งต่างๆ...

มนุษย์...ย่อมเลือกทิศทางแห่งการกระทำของตนได้....ว่าจะสร้างร่องรอยแห่งการก่อ
รูปการของอนาคตอย่างไร....และย่อมที่จะเลือกทิศทางในทางที่พัฒนาสูงขึ้นอันสอด
คล้องกับทิศทางขององค์รวมระบบ....หากเลือกทิศทางแห่งการก่อบาป...และพอกพูน
กิเลส...แน่นอนที่สุดร่องรอยที่ก่อเกิดของรูปการใหม่ก็คือร่องรอยแห่งความ
ทุกข์...

เราเลือกที่จะมีความสุขหรือความทุกข์ได้....อยู่ที่ความพึงพอใจของเรา...

นี่เป็นสิ่งพิเศษ...ที่ธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมา....

และอยู่ที่เราจะเลือกเป็นเดียรัจฉาน....หรือมนุษย์ที่มีทิศทางแห่งการพัฒนาของ
จิตใจที่สูงขึ้น...



แบบวิธีในการทำความเข้าใจต่อความเป็นไปทางธรรมชาติของมนุษย์....ที่ประกอบเป็น
รูปการแห่งความเชื่อในระบบความคิดของคนเรา....จากอดีตมาถึงปัจจุบันอาจจำแนกเป็น
รูปการใหญ่ๆคือ..

แบบวิธีแรก..เช่น การทำความเข้าใจในกฎเกณท์ทางธรรมชาติด้วยรูปการภายใต้การตรวจ
วัดและการสัมผัสในทางกายภาพอันได้แก่รูปแบบแห่งการให้เหตุและผลในแบบที่เราเรียก
กันว่าแบบวิธีทางวิทยาศาสตร์....ที่มีการทดลองปฏิบัติหาข้อสรุปจากการทดลอง
ปฏิบัติ....ในการทำความเข้าใจโลกของจิตวิญญาณ.....เช่นแบบวิธีของพุทธศาสนา...จะ
ใช้แบบวิธีนี้เป็นหลักในการทำความเข้าใจอันเป็นปฏิบัติการทางฟิสิกส์ของระบบจิต
วิญญาณ.....ซึ่งจำแนกเป็นแบบชุดแห่งการปฏิบัติที่แตกต่างกันไป....


ในแบบแห่งการปฏิบัติทั่วไป....หรือที่เรียกว่าการดำเนินตามทางสายกลาง....สำหรับ
บุคคลทั่วไปอันได้แก่....การเจริญในอริยมรรค....หรือ มรรค 8 อันเป็นการดำเนิน
ชีวิตที่อยู่ในทิศทางแห่งการไปสู่จุดมุ่งหมายนิพพาน.....หรือเกิดการก่อรูปการ
แห่งร่องรอยและทิศทางแห่งอนาคตเพื่อไปสู่จุดหมายนี้...ได้แก่...ความคิดเห็นที่
ถูกต้อง....ความคิดที่ชอบ.....การพูดที่ชอบ....การทำงานที่ชอบ...การเลี้ยงชีพ
ที่ชอบ....ความพยายามที่ชอบ....การมีสติที่ชอบ....การมีสมาธิที่ชอบ.....และใน
ทั้งหมดจะมี สัมมาสมาธิเป็น องค์ประธานหรือเป็นหลักโดยมีอีก7 มรรค(หนทาง,วิถี
ทาง)เป็นองค์ประกอบ....


และยังต้องประกอบไปด้วย....จุดมุ่งหมาย...ความไฝ่ฝันแห่งอนาคต..หรือคุณธรรม
หลักๆคือ...พรหมวิหาร 4 หรือการประพฤติตนเยี่ยงพรหม....อันได้แก่...เมตตา(ความ
รักที่บริสุทธิ์)...กรุณา(ความเกื้อกูล)...มุทิตา(ความสุข,ความเบิกบาน)....
อุเบกขา(ความหนักแน่น,ความเที่ยงธรรม)....เป็นต้น...

สำหรับแบบวิธีปฏิบัติในแบบวิธีทางพุทธศาสนา...มีการแยกย่อยละเอียดมากในการ
ปฏิบัติสำหรับผู้ที่มุ่งมั่นบรรลุสู่จุดมุ่งหมายการหลุดพ้น....

แบบวิธีที่สอง....แบบวิธีการในเชิงกระบวนการรับรู้แห่งรหัสนัย....แบบวิธีของการ
ก่อรูปการในทางความเชื่อในรูปแบบนี้....รูปแบบการทดลองปฏิบัติในทางจิตวิญญาณ...
จะใช้รูปแบบแห่งการก่อกระบวนการทางจิตเพื่อที่จะสัมผัสกับสิ่งที่นอกเหนืออายตนะ
ภายนอกหรือรูปการทางวัตถุสัมผัสได้...

การก่อรูปการทางจิตโดยอาศัย...สัญลักษณ์...ความศรัทธา...หรือพิธีกรรมต่างๆ...
เป็นรูปแบบหลักเพื่อให้กระบวนการในทางจิตเกิดการรวมตัว....และก่อเกิดพลังงานที่
สูงขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบความเร็วที่สูงขึ้นตามปริมาณแห่งพลังงาน
ที่เพิ่มขึ้นของระบบ....

การรับรู้ต่อระบบใดๆ...สิ่งที่ตรวจวัดได้ก็ต้องอยู่ในระบบเดียวกันจึงจะตรวจวัด
และสัมผัสได้....

เช่น....เราจะตรวจวัดระบบที่เร็วกว่าความเร็วแสงได้เราด้วยอายตนะหรือเครื่องมือ
ตรวจวัดต่างๆหรือการตรวจวัดในเชิงประจักษ์นิยมอย่างเป็นรูปธรรม....ซึ่งก็
ต้องอยู่ในระบบแห่งการก่อรูปการเดียวกัน....ไม่เช่นนั้นก็ต้องอาศัยการอนุมาน..
การคาดหมายการประมาณการในเชิงนามธรรม....

พลังงานของการก่อรูปการในระบบทางจิตวิญญาณ....ย่อมประกอบไปด้วยความหลากหลายใน
ระบบแห่งความเร็ว....

เทคนิค...ในการตรวจวัดแบบนี้ได้แก่....กระบวนการยกระดับและเปลี่ยนแปลงพลังงานใน
ทางจิตให้สัมผัสกับพลังงานในระบบที่เราสามารถก่อรูปการเพื่อให้สัมผัสได้อย่าง
เป็นรูปธรรม....

เทคนิคการตรวจวัดแบบนี้....เช่นกระบวนการฟิวชั่น....และกระบวนการฟิชชั่น...ใน
ทางจิต..

ภายใต้กระบวนการเช่นนี้....ก่อให้รูปการทางจิตที่ก่อขึ้นจากรูปการทางวัตถุใน
ระบบความเร็วแสงเกิดการเปลี่ยนแปลง....

การลดลงของอัตตาใดๆหรือมวลแห่งกิเลสที่เกิดจากกระบวนการทางวัตถุ...เป็นผลให้
เกิดการเพิ่มสูงขึ้นของพลังงานทางจิตในการที่จะก่อเกิดอันตรกิริยากับพลังงานภาย
นอกที่ดำรงอยู่ในจักรวาลและมีขนาดของขอบเขตุที่กว้างขึ้น.......

โลกแห่งนรก...และโลกแห่งสวรรค์....ก็คือโลกที่ทิศทางแห่งจิตวิญญาณก่อรูปการขึ้น
ใหม่ภายใต้กระบวนการพัฒนาที่เป็นไปตามกฎเกณท์ทางธรรมชาติของมนุษย์....ทั้งในทาง
กายภาพและทางจิตวิญญาณ....

การเกิดขึ้นของรูปการดังกล่าว....ก่อเกิดจาก...รูปการของร่องรอยแห่งอดีต...หรือ
กรรม...และรูปการของร่องรอยแห่งอนาคต...อันรวมไปถึงการกระทำแห่งปัจจุบัน.....

ประกอบกันขึ้น...เป็นรูปการใหม่.....และมีทิศทางการพัฒนาไปตาม...กรรมเหล่า
นั้น....


ทิศทางหลักในสองทิศทาง....เมื่อกล่าวสำหรับในกรอบกระบวนทางจิตวิญญาณของมนุษย์ก็
คือทิศทางที่มีการพัฒนาของพลังงานที่สูงขึ้น....และทิศทางที่มีการลดลงของ
พลังงาน.....เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อรูปการทางวัตถุแห่งโลกของมนุษย์......


หลักการทั่วไปทางฟิสิกส์แห่งการก่อรูปการ...ก็คือ...


-สรรพสิ่งล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...และแยกไม่ออกจากกัน...แปรเปลี่ยนไป
มา...

-การเกิดขึ้นของรูปการใดๆ....ล้วนเป็นการก่อเกิดจากร่องรอยแห่งอดีต...และร่อง
รอยแห่งอนาคต.....

-ระบบที่มีพัฒนาการสูงขึ้นหรือมีพลังงานที่สูงกว่า...ย่อมก่อเกิดจากร่อง
รอยอดีต...ปัจจุบัน...และอนาคต...ของระบบที่มีพลังงานต่ำกว่า....เมื่อเทียบ
อย่างสัมพัทธ์...

-ระบบที่มีพลังงานต่ำกว่าใดๆ....การแปรเปลี่ยนไปสู่ระบบที่มีพลังงานสูงย่อมเกิด
จากกระบวนการที่เกิดการหลอมรวมพลังงานในระบบที่สูงขึ้น...อันตรกิริยาที่ก่อเกิด
กับพลังงานภายนอกจึงก่อเกิดการยกระดับสู่คุณภาพใหม่....

-การลดลงของพลังงานในระบบพลังงานสูงไปสู่ระบบพลังงานต่ำ....หรือเกิดการก่อ
รูปการทางวัตถุในระบบความเร็วต่ำ....เกิดจากกระบวนการแตกตัวในองค์เอกภาพนั้นๆ
อันเป็นผลให้เกิดองค์รวมย่อยๆและเกิดการลดลงของพลังงานแห่งองค์รวมใหญ่.....และ
เกิดจากการเพิ่มพูนขึ้นในรูปการทางวัตถุขององค์รวมนั้นๆจนถึงระดับแห่งการลดลง
ของความเร็วในระบบ...


ระบบฟิสิกส์โลกแห่งนรก....และฟิสิกส์โลกแห่งสวรรค์....ล้วนมีการทับซ้อนของระบบ
ความเร็วอันหลากหลาย....การก่อรูปการทางวัตถุแห่งระบบความเร็วใดๆหรือพลังงาน
ใดๆ...เป็นไปตามกฎเกณท์ทางฟิสิกส์ดังกล่าว....


การก่อรูปการทางความเชื่อ....ในรูปการความเชื่อทางศาสนาอันเป็นรูปการหนึ่งของ
จิต...หรือรูปการทางความนึกคิดของคนเรา....

รูปการที่เกิดขึ้นของความคิด...ก็คือรูปการการก่อรูปทางวัตถุที่อยู่บนระบบแห่ง
ความเร็วหรือระบบแห่งพลังงานที่แตกต่างจากการก่อรูปการทางวัตถุในระบบความหมาย
ที่เราเข้าใจกันหรือระบบที่ความเร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง.....

หากเราจินตภาพดูว่า...องค์รวมของสนามแรงที่ประกอบขึ้นอันก่อให้เกิดรูปการทาง
วัตถุที่เดินทางได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ความเร็วแสง....เราลองจินตภาพดูว่าเป็น
เหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง...

ในแม่น้ำสายนี้...ยังมีระบบความเร็วที่หลากหลาย...แม่น้ำที่ไหลไปหาได้ไหลไปด้วย
ความเร็วเท่ากันไม่....ความเร็วของกลางลำแม่น้ำ...ริมฝั่ง....ในส่วนน้ำลึก...ใน
ส่วนผิวแม่น้ำ...บางแห่งมีน้ำวนเล็กๆ...ความเร็วในแต่ละส่วนไม่เท่ากัน

เราจะเห็นว่าความเร็วในระบบใหญ่ของแม่น้ำเราอาจประมาณการความเร็วได้เป็นค่า..
ความเร็วเฉลี่ย...และความเร็วต่ำสุด...ความเร็วสูงสุด...เมื่อผู้ตรวจวัดหยุด
นิ่งอยู่บนฝั่ง.....

การตรวจวัดประมาณการในทางคณิตศาสตร์...มีหลายแบบ....เช่นเราอาจตรวจวัดความเร็ว
โดยผู้ที่ตรวจวัดอยู่บนสายน้ำ...แต่ก็ต้องมีจุดอ้างอิงที่หยุดนิ่งอย่างสัมพัทธ์
ในการอ้างอิง....หรือการตรวจวัดโดยการเปรียบเทียบ...ระหว่างเช่นความเร็วของสาย
น้ำบริเวณเฉลี่ยความลึกที่สมมติเช่น3ฟุต...กับความเร็วในความลึกลงไปกว่านี้...
เป็นต้นโดยมีผู้สังเกตุที่อยู่นอกระบบ..เป็นต้นความเร็วที่ได้อันเป็นความเร็ว
สัมพัทธ์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ....

การก่อเกิดรูปการทางความคิดใดๆ....ล้วนเกิดจากการเกิดขึ้นใหม่จากรูปการทาง
อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น.....และรูปการทางอารมณ์ต่างๆล้วนเป็นการสัมผัสกับองค์
รวมต่างๆทางวัตถุจากภายนอก...เช่น..อารมณ์สุนทรียภาพความงามที่เราเห็นจากภาพ
วาด...เราจะเห็นว่าที่เรามองคือองค์รวมทั้งหมด....

สุนทรียภาพในด้านเสียงเพลง...ก็เกิดจากการรับฟังองค์รวมทั้งหมดของเพลง...

องค์รวมต่างๆที่เรารับรู้จากอายตนะทั้งหมด....ก่อเกิดรูปการทางวัตถุในกระบวนการ
ทางความคิดของคนเรา....

ในการแบบวิธีการปฏิบัติ...และปรัชญาทางพุทธศาสนา...มีการจำแนกในทางปริมาณและ
คุณภาพของจิตไว้หลายระดับ...

เช่น...ในระดับต้น...หรือระดับพื้นฐานในการฝึกฝนการควบคุม...สติ..ให้ดำรงอยู่ใน
สมาธิตามแบบพุทธปรัชญาหรือที่เรียกว่าการเจริญสติปัฏฐานอันเป็นแบบวิธีการฝึกฝน
เพื่อควบคุมจิตใจและตัดกิเลสที่มาปรุงแต่งจิตใจออก...ด้วยวิธีการในแบบ
วิปัสสนา...และสมาธิ....

ในแบบการปฏิบัติการทางจิตแบบนี้มีการจำแนกคุณภาพของจิต กว้างๆที่เกิดจากผลการ
ปฏิบัติการทางจิต 2 ระดับใหญ่ๆคือรูปฌาน และอรูปฌาน

รูปฌาน แบ่งเป็น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน...

อรูปฌาน แบ่งเป็น อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญาตนฌาน และ เนว
สัญญานาสัญญายตนฌาณ....

และขั้นสูงสุด คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ....

จะไม่ขอกล่าวรายละเอียดสำหรับท่านที่สนใจศึกษาได้จากพระไตรปิฎกและตำราพุทธศาสนา
ต่างๆ.....

ในแบบวิธีปฏิบัติการทางจิตแบบพุทธจะเห็นว่า.....ในแต่ระดับของจิต...ที่เข้าใกล้
ค่าของ 0 แห่งระบบจิต...หรือในความหมายว่าบรรลุสู่การดับกิเลส...ในขั้นสูงสุดจะ
มีการ จำแนกแยกแยะตัดอารมณ์ต่างๆออก...สัญญาหรือข้อผูกพันใดๆออกหรือการตัดกิเลส
ใดๆออกจากระบบความคิด.....ภายใต้การวิเคราะห์การเปรียบเทียบการพิจารณาให้เห็น
ถึงความเป็นอนัตตา....

จิตในระดับนี้จึงเป็นระบบจิตที่ มีอีกคุณภาพหนึ่ง....อันแตกต่างจากระบบจิตที่
อยู่ในระบบแห่งการพอกพูนของกิเลสอันเป็นร่องรอยแห่งการกระทำหรือการก่อรูปการทาง
วัตถุในระบบกายภาพ

การควบคุมสติ...หรือการมีสมาธิอย่างยิ่งยวด......เป็นผลให้ระบบแห่งการรับรู้ไม่
ถูกจำกัดโดยการปรุงแต่งของกิเลสของโลกวัตถุทางกายภาพ....นั่นคือความมีเสรีภาพ
ที่สูงขึ้นแห่งการรับรู้ทางอายตนะในอีกระบบความเร็ว...รวมไปถึงรูปธรรมแห่งการ
ก่อรูปการของพลังงานในอีกระบบความเร็วที่แตกต่างจากความเร็วทางกายภาพ......

และนี่เป็นรูปการหนึ่งของกระบวนการทางจิต....อันควบคู่กับกระบวนการทางกายภาพของ
มนุษย์...

เช่นเดียวกันกับเมื่อเรามองดูแท่งแม่เหล็ก....เราก็คงมองไม่เห็นสนามแรงของ
มัน...

เว้นแต่เมื่อมีเหล็กเข้ามาใกล้....

กายภาพ ย่อม มีจิตใจ ที่ควบคู่กันไปอย่างแยกไม่ออกและประกอบเป็นองค์รวมเดียว
กัน....ในการวิเคราะห์สิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์บนโลกใบนี้...


....................................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า17

ฟิสิกส์โลกของนรก


ความเชื่อในทางศาสนาใดๆของมนุษย์ล้วนเป็นการสะท้อนออกถึง...กระบวนการก่อรูปการ
ทางวัตถุในอีกระบบความเร็วที่แตกต่างจากระบบความเร็วการก่อรูปการทางวัตถุ...

พลังงาน ที่ดำรงอยู่ในจักรวาล.....อันเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดรูปการต่างๆของการ
ก่อรูปการทางวัตถุในระบบใดๆ.......

ในกระบวนการคิดของมนุษย์ที่มีอันตรกิริยากับพลังงานที่ดำรงอยู่นี้....รูปการที่
เกิดขึ้นภายใต้ร่องรอยจากการกระทำของมนุษย์....

หากการกระทำอันมีทิศทางของการก่อรูปในกระบวนระบบที่มีทิศทางความเร็วต่ำ....เช่น
การหมุนวนในร่องรอยที่ลึก...เมื่อกระการการระบบพัฒนาไปในทิศทางที่มีมวลพลังงาน
ที่มีความเร็วสูงขึ้น...ก็ทำให้กระบวนการของคนๆนั้น...อยู่ในระบบของความเร็วที่
ต่ำกว่าระบบรวม...

นอกจากนั้น...หากการกระทำใดๆ...ของคนๆนั้น...ล้วนเป็นการกระทำอันสร้างร่องรอย
ของการก่อรูประบบความเร็วต่ำเกินกว่าระบบการก่อรูปการของมนุษย์.....เช่นการ เข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน....การดำรงชีพบนความทุกข์ยากของผู้อื่น...การยึด
มั่นอย่างเหนียวแน่นแห่งตัวตนและก่อเกิดร่องรอยลึกแห่งตัวตนอันเป็นการคงรูปเดิม
ของตัวตนยากแก่การพัฒนาสูงขึ้นของมวลพลังงานระบบ....


ระบบชีวิตมนุษย์....ถือว่าโชคดีที่สุดแล้วครับในทางฟิสิกส์ของโลกจิตวิญญาณ....

มนุษย์สามารถที่จะเลือกสร้างเงื่อนไขแห่งการก่อรูปการทางวัตถุ...ในระบบที่แตก
ต่างได้...

ว่าแต่จะเลือกในทิศทางไหน...

หากมนุษย์เลือกในทิศทาง การก่อรูปการของโลกที่มีระบบความเร็วของมวลพลังงานที่
ต่ำเกินกว่าก่อรูปการเป็นมนุษย์....หรือทิศทางที่โลกของระบบจิตใจที่มีแต่ ความ
โศกเศร้า..ความอาฆาตพยาบาท...ความเคียดแค้น...ความริษยา...ความชิงชัง...ฯลฯ หรือทิศทางอันตรงข้ามกับทิศทางแห่งความงาม....ความรัก..ความสุข...อันเป็นทิศทาง
ของระบบพลังงานสูง...

กว่าจะยกระดับการแปรเปลี่ยนมาสู่ระบบมนุษย์ได้....ไม่ทราบว่ากี่หมื่นกี่พันปี
ของการก่อรูปการทางวัตถุบนโลกนรกที่จะพัฒนาให้มวลพลังงานสูงขึ้นภายใต้สภาพการณ์
แห่งนรกนั้น......เมื่อเทียบกับเวลาในระบบโลกมนุษย์.....อันเป็นไปตามหลักการของ
การก่อรูปการทางวัตถุในระบบใดๆในทางฟิสิกส์....

แม้แต่...บนโลกปัจจุบัน...ถ้าเราเองยังพยายามสร้างหรือก่อรูปการต่างๆ...เพื่อ
ก่อเกิดนรกบนโลก...เช่นการขาดซึ่งความรักในเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง.....นรกก็
เกิดขึ้นได้เช่นกันแม้จะเป็นระบบความเร็วของมนุษย์...เพราะมันเป็นหลักการทาง
ฟิสิกส์ถึงทิศทางการก่อรูปการทางวัตถุ.....

การขาดความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...
การเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน....
การทำลายสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ....ที่เร่งสร้างเงื่อนไขวันพิพากษามาถึงเร็ว
ขึ้น...

คิดหรือว่าจะได้พบพระเจ้า...ครับ..

พระเจ้าไม่เคยสอน...ไม่เคยรับหรือติดสินบนจากการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์...จิตใจ
หยาบช้าเช่นนี้...ถ้าไม่กลับตัวใหม่....ปรับปรุงยกระดับจิตใจใหม่......
หนทางมีทางเดียวครับ...อยู่ในโลกแห่งนรกยาวนานกว่าบนโลกนี้ชั่วกัปป์กัลป์....

สำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่....ก็จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท....หมายความว่าจง
เตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสถานะภาพที่ไปสู่ระบบใหม่....

เราจะสร้างเงื่อนไขไปสู่ระบบไหน....ก็เลือกเอา...
ระบบบนโลกทางวัตถุมนุษย์...ต่อให้ท่านร่ำรวยเป็นแสนล้าน...ท่านเอาไปได้อย่าง
เดียวคือ......


ร่องรอยแห่งความดีหรือความชั่วเท่านั้นเอง....


หลักการทางฟิสิกส์แล้ว...ระบบเวลามนุษย์สุดแสนจะสั้นมากๆ....ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง
บนระบบความเร็วสูง....แต่ยาวนานมากหลายหมื่นปีบนระบบความเร็วต่ำ...หรือนรก...

นี่เป็นหลักการทางฟิสิกส์...ล้วนๆเลยนะครับ...

........................


การก่อรูปการทางวัตถุ....ในการอธิบายตามแบบแผนของรูปการแห่งความเชื่อของคนเราใน
รูปการหนึ่ง....เช่นความเชื่อในทางศาสนาอันมีรากฐานจากการก่อเกิดด้วยกระบวนการ
ฟิวชั่น หรือการหลอมรวม หรือกระบวนการแห่งความศรัทธา อันเป็นรากฐานการก่อรูปการ
ทางวัตถุของระบบความเร็วสูงทางระบบความคิด.....

พิธีกรรมต่างๆล้วนเป็นแบบแผนในการก่อรูปการทางวัตถุของระบบความเร็วสูงใน
กรอบกระบวนการคิดหรือจิตใจ....กระบวนแห่งพิธีกรรมจึงเป็นกระบวนการฟิวชั่นในทาง
จิต....

และภายใต้รูปการทางจิตเหล่านั้น....ต่างล้วนมีร่องรอยแห่งทิศทางที่ชัดเจน....

ทิศทาง....ของศาสนาทุกศาสนา...มีทิศทางแห่งความรัก....อันตรงข้ามกับทิศทางแห่ง
ความเกลียด....

ภาวะอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในหลักความเชื่อแบบพุทธศาสนาก็คือนิพพาน....หลัก
การของนิพพานก็คือ...การตัดอารมณ์แห่งกิเลสทุกชนิดเพื่อนำไปสู่การดับสูญหรือการ
ไม่เกิดขึ้นของกระบวนการทางจิต.....

ในทางฟิสิกส์แล้วก็คือ....การดำรงอยู่ของพลังงานในจักรวาล....อันเป็นพลังงานที่
ไม่ก่อเกิดรูปการทางวัตถุด้วยตนเองหรือไม่ได้มีความเอนเอียงในการให้คุณให้โทษ
แก่ผู้หนึ่งผู้ใด....ดำรงสถานะที่เป็นปัจจัยหนึ่งตามธรรมชาติ.....เป็นพลังงาน
ที่สรรพสิ่งสามารถนำไปก่อรูปการทางวัตถุในความหลากหลายของระบบกาลาวกาศอันขึ้น
กับร่องรอยแห่งการสารูป...ของสิ่งนั้นๆ...

ในศาสนาคริสต์ และอิสลาม โดยเนื้อหาหลักก็คือหลักแห่งความรักที่มีต่อเพื่อน
มนุษย์และสรรพสิ่ง....

และมีทิศทาง....ก็คือ...รักที่ออกไปจากตัวตน....อันมีจุดหมายสุดท้าย ก็เช่น
เดียวกับภาวะนิพพานในพุทธศาสนา...

เพราะในทางฟิสิกส์แล้ว....ทิศทางของความรักที่ออกไปจากตัวตน...จุดหมายก็คือการ
สูญสลายตัวตนนั่นเอง....หรือการดำรงอยู่ในจักรวาลอันเป็นพลังงานที่ไม่ก่อรูปการ
ทางวัตถุได้ด้วยตัวเอง....เช่นเดียวกับพลังงานแห่งนิพพาน....

ภายใต้หลักการในทางฟิสิกส์...ที่ว่า...พลังงานใดๆไม่สูญสลายไปจากจักรวาล...
หากสูญหายไปจากจักรวาล....แล้วเราจะเชื่ออีกหรือว่ามีจักรวาล..ในการอธิบายในทาง
ฟิสิกส์และความเชื่อใดๆของมนุษย์....

แนวความเชื่อที่ได้รับการปรุงแต่งด้วยกิเลสแห่งตัวตนอันพอกพูนหนาแน่น....

จึงทำให้....ความเชื่อในทางศาสนาต่างๆ....ได้รับการบิดเบือนจนกลายเป็น
อวิชชา....

ศาสนา...ทุกศาสนาสอนให้มนุษย์ดำเนินชีวิตที่มีทิศทางการพัฒนายกระดับจิตใจสูง
ขึ้น..
และบรรลุในสิ่งที่เราเรียกกัน...ตามการอธิบายในรูปแบบความเชื่อทางศาสนาว่า...
จุดมุ่งหมาย....นิพพาน....จุดมุ่งหมายการเข้าถึงและไปพบพระเจ้า...

ในการอธิบายในทางฟิสิกส์แล้ว....ต่างก็คือจุดหมายเดียวกัน..นั่นคือ

การสูญสลายและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพลังงานในจักรวาล.....


..........................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า 16

จดหมาย....ฉบับสุดท้าย


ผม reddragonค้นเจอจดหมายฉบับหนึ่งบนหัวใจ...เขียนด้วยลายมือซุนปิน..เขียนไว้
ดังนี้ครับ...

ถึง........ที่รัก...

“ ผมเกลียดคุณที่สุดในโลก....
ผมอยากตะโกนออกไปดังๆ...ให้โลกรับรู้...
คำๆนี้สำหรับคุณที่ผม...รัก..
กับหัวใจที่มีแต่การหลอกลวง...โกหกและไร้ซึ่งความจริง..และ
จะไม่มี ออกไปจากปาก...จากหัวใจของผม...
กับคำว่า...รัก...ที่มีให้ต่อเธอ...
ตราบชั่วฟ้าดินสลาย....
และการโกหกบนหัวใจของตนเอง.....”


จาก...ซุนปิน...


......ผม reddragon...รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักกับจดหมายฉบับนี้ของซุนปิน....ที่
เขียนไปถึงคนรักของเขา..

แย่มากเลย...ไม่คิดถึงความมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลากว่าจะสร้างขึ้น
ได้...
......ผมก็ต้องโยนจดหมายนี้ทิ้งเสียความรู้สึกกับความเห็นแก่ตัวและรักจอมปลอม
ของซุนปิน...

แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจหยิบมาอ่านใหม่....เมื่อเปิดอ่านจดหมายอีกฉบับที่ผนึกซอง...
ไว้...ส่งไปพร้อมกันแต่ไปไม่ถึงจดหมายตีกลับ....เขียนไว้ดังนี้ครับ...

.......ที่รัก...โปรดอ่านบรรทัดเว้นบรรทัด...รักเธอชั่วฟ้าดินสลาย....ลงชื่อซุน
ปิน..


บางครั้ง...เวลา...ความเร็วและความซับซ้อนของข้อมูล...มันฆ่าเราได้นะ...!!!


........................


ฟิสิกส์โลกแห่งนรก : ฟิสิกส์โลกแห่งสวรรค์


การอธิบายในตอนนี้เกี่ยวกับเรื่องสุนทรียภาพของอารมณ์ความงามความรัก...เพื่อให้
ใจภาพรวม...คือผมใช้หลักการของกรอบมิติที่ 8 การทับซ้อนของเวลาหรือพหุภาพของ
เวลาและมิติที่9มิติองค์รวมพหุภาพมาอธิบาย....

หลักการของการวิเคราะห์ในกรอบนี้....จะทำให้เราทราบถึงโครงสร้างพื้นฐานในทาง
ฟิสิกส์ทั้งการก่อรูปการทางวัตถุและการก่อรูปการทางจิตใจ...


หลักแห่งการก่อรูปการ:

การอุบัติ,การบังเกิดขึ้น หรือการก่อขึ้นของรูปการใดๆ....ดังได้อธิบายมาแล้ว
ล้วนเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในทางพลังงานของระบบหนึ่งไปสู่การก่อรูปการในอีก
ระบบหนึ่งอันสัมพันธ์กับพลังงานที่ใช้ไปในระบบ.....

ในฟิสิกส์อนุภาค...เช่นตัวอย่างการทดลองปรากฏการณ์โฟโต้อิเล็กตริก...ของ
ไอน์สไตน์ซึ่งให้คำอธิบายว่า แสงที่คุณสมบัติเป็นทั้งคลื่น...และเป็นอนุภาค..
โดยให้คำอธิบายว่าเกิดจากการที่อิเล็กตรอนวิ่งชนกัน...และปลดปล่อยพลังงานออก
เป็นรูปของอนุภาค..โฟตอน...

ดังนั้นในส่วนสมการต่างๆจึงอธิบายว่า...มวลและพลังงานแปรเปลี่ยนไปมาซึ่งกันและ
กันได้....และเรียกรวมๆว่าพลังงาน....นั่นหมายความว่าพลังงานแปรเปลี่ยนไปเป็น
สิ่งที่มีมวลวัตถุได้.....

มวลพลังงานเหล่านี้ยังมีการแปรเปลี่ยนอันสัมพันธ์กับความเร็วที่ใช้หรือพลังงาน
จลน์ที่ใช้ในการเคลื่อนที่...และมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและเวลาของระบบภายใต้
การเคลื่อนที่เหล่านั้น...

ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่อธิบายถึงสนามแรงแห่งความโน้มถ่วง...เกิดการบิดเบี้ยวจาก
สนามแรงที่สูงกว่า...มีการพิสูจน์ในการทดลองหลายๆอย่างเช่นการตรวจวัดการโค้งงอ
ของกาลาวกาศโดยตรวจจากตำแหน่งดวงดาวเมื่อผ่านสนามแรงของดวงอาทิตย์...มีการ
เปลี่ยนแปลงของตำแหน่งเมื่อสังเกตุจากโลก....หรือการตรวจวัดความถี่ของคลื่นที่
แผ่ออกจากวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงขนาดความยาวคลื่นที่ที่ยาวขึ้นเมื่อห่างไกลออก
ไป....เป็นต้น...


เมื่อเรามองในกรอบแบบ9มิติ....เราจะเห็นว่าสิ่งที่ดำรงอยู่บนจักรวาลเป็นการทับ
ซ้อนของกาลาวกาศในหลายระบบอ้างอิง...และในระบบแห่งความเร็วที่แตกต่างเหล่า
นั้น..การอุบัติ..หรือการบังเกิด....หรือการก่อรูปการทางวัตถุ...ล้วนเกิดภายใต้
การเพิ่มขึ้น...หรือการลดลงของพลังงานในระบบอ้างอิงหนึ่งไปสู่ระบบอ้างอิง
หนึ่ง....

ในการอธิบายแบบนี้...ทำให้เราเข้าใจในความสัมพันธ์ของระบบทางกายภาพของมนุษย์ว่า
มีความสัมพันธ์กับระบบทางจิตใจอย่างไร...รวมไปถึงความเข้าใจที่ว่าจักรวาลล้วน
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

เอาแค่เราดูหยาบๆ...เช่นสิ่งต่างๆล้วนประกอบไปด้วยโปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอน...

เมื่อเราใช้ในการทำความเข้าใจในห้องทดลองฟิสิกส์อนุภาค....เช่นปรากฏการณ์โฟโต้
อิเล็กตริก...ก็จะให้คำอธิบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการก่อรูปการ......

จากการเคลื่อนที่ของรูปการคลื่น....สู่การก่อรูปการวัตถุของระบบความเร็ว
แสง....

เราอาจทดลองตรวจวัดค่าประมาณการในการคำนวนทิศทางและขนาดปริมาณได้...โดยการทดลอง
จากเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อทำการวิเคราะห์....การก่อรูปการของระบบความเร็วที่แตก
ต่าง....

คำอธิบายของฟิสิกส์ระบำปลายเท้า....จะทำให้เราเปิดพรมแดนแห่งการรับรู้ไปสู่การ
ประมาณการที่ใกล้ความจริงมากขึ้น....และไม่จำกัดกับกรอบของค่าสัมบูรณ์ในระบบใด
ระบบหนึ่ง...

ในการทำความเข้าใจในวิทยาศาสตร์สังคม...ก็จะทำให้เข้าใจในทิศทางแห่งการพัฒนา
เพื่อประโยชน์สูงสุดของมนุษยชาติ....

ในปรัชญา...ศาสนา...ความเชื่อ....ก็จะทำให้เราทราบว่า.....นิพพานในพุทธศาสนาคือ
อะไร....ปรัชญาความเชื่อมั่นแห่งพระเจ้า...คืออะไร......ซึ่งกล่าวโดยสรุปแล้วใน
การอธิบายทางฟิสิกส์แล้วก็คือการยืนยันว่ามีการดำรงอยู่จริงของพลังงานดัง
กล่าว....และก่อเกิดอันตรกิริยาภายใต้ระบบแห่งความคิดจิตวิญญาณของแต่ละคน......
แต่ทิศทางของศาสนาใดๆ....ก็คือทิศทางแห่งความรักที่ออกไปจากตัวตน....นั่นคือการ
รักต่อสรรพสิ่ง......และชัยชนะหรือความเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่และสุดท้าย...ไม่มี
ชัยชนะใดๆของตัวตนนอกจาก.....ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแห่งพลังงานที่ดำรง
อยู่ในจักรวาล.....


ทิศทางแห่งความรัก...อันตรงข้ามกับความโกรธเกลียดหรือเพื่อตัวตน......รักที่ออก
ไปจากตัวตนต่างหากจึงจะพัฒนาจิตใจมนุษย์ไปสู่ระบบที่สูงขึ้น....

ทิศทางแห่งการโกรธเกลียด...เพื่อตัวตน.....การเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยจิตใจที่
โสมมและโหดเหี้ยมของจิตใจที่สกปรกเห็นแก่ตัวอย่างนี้...ผลที่เกิดการก่อรูปการ
ทางฟิสิกส์....พิสูจน์ได้ในเชิงประจักษ์นิยมในแบบค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์......
นรก...เท่านั้นครับ...ที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นสิ่งที่พวกเขาทำก็คือสร้างนรก
ขึ้น.......

พลังงานเหล่านั้นก็จะลงโทษพวกเขาอย่างสาสมเช่นกัน....ไม่ใช่ใครทำ....

แต่เป็นกฎเกณท์ทางฟิสิกส์....อันเป็นสากลของจักรวาล...


เราคงมองเห็นแล้วจากเรื่องโครงสร้างการก่อรูปของอารมณ์ความงาม ความรัก....ว่าใน
ระบบความเร็วสูงหรือระบบของโลกทางจิตของมนุษย์มีความเร็วแตกต่างจากการก่อรูปของ
โลกในทางวัตถุ.....

ในโลกทางจิตใจมีความเร็วสัมพัทธ์ที่สูงกว่า....ดังนั้นจึงมีขนาดของกาลาวกาศที่
กว้างกว่าและเป็นไปตามหลักการของทฤษฎีสัมพัทธภาพ.....

เราจะเห็นว่าโลกในทางจิตใจมีองค์ประกอบ...ของอดีต...ปัจจุบัน...และอนาคต...
เมื่อเทียบกับโลกทางวัตถุ....และนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาก่อรูปการใหม่ในทางความคิด
อันเป็นรูปการใหม่ที่เกิดขึ้น ภายใต้ร่องรอยแห่งอดีต...และทิศทางร่องรอย
แห่งอนาคต....

การเกิดขึ้นของรูปการใดๆ....ล้วนเป็นไปในลักษณะเช่นนี้....

การค้นคิด...สร้างองค์ความรู้หรือเพื่อหากฎเกณท์....เราจะมีแบบวิธีการคือ.....
จากทั่วไปสู่เฉพาะ...และจากเฉพาะสู่ทั่วไป.....นั่นคือหากฎเกณท์ได้ทั้งสอง
แบบ....ที่ผมนำเสนอคือแบบการหารูปการเฉพาะของเรื่องความงามความรัก...หาหลักการ
ทั่วไปเพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบในสิ่งอื่นๆในการทำความเข้าใจหลักการทั่ว
ไป....

ถ้าเรามามองดูโครงสร้างในการค้นคว้าสิ่งต่างๆของมนุษย์บนโลก.....เราจะเห็นได้
ว่ามีการค้นคว้าแบบแยกส่วนโดยแยกเป็น กรอบโลกทางวัตถุ และโลกทางจิตใจและจิต
วิญญาณ

กรอบที่ ผมนำเสนอ....จะเป็นหลักการทั่วไปที่อธิบายถึงในการก่อรูปในทาง
ฟิสิกส์.....นับตั้งแต่...มวลพลังงานที่ดำรงอยู่ในจักรวาล....เทหวัตถุขนาด
ใหญ่....กาแลกซี่....ดวงดาว...ระบบสุริยะ...ระบบโลก....สิ่งมีชีวิตบนโลก....(
มนุษย์...สัตว์...พืช..) โลกวัตถุที่มีขนาดเล็ก เช่นโลกของอะตอม...โลกของหน่วย
ย่อยขนาดเล็กในทางชีวภาพ......และรวมไปถึงโลกทางจิตวิญญาณ.....หรือจากระดับ
มหภาค..ไปถึงจุลภาคและรวมไปถึงโลกทางจิตวิญญาณ.....

ในตอนนี้ขอกล่าวถึง...โลกทางความเชื่อ...หรือทางจิตวิญญาณ.....ก่อนที่จะไปกล่าว
ถึงรายละเอียดในโลกทางวัตถุในเรื่องฟิสิกส์อนุภาค...ในโครงสร้างอะตอม...ไปจนถึง
ควาร์ก...ในภาคของการประยุกต์ในตอนต่อไป.....

ความเชื่อในทางศาสนา.....ผมไม่ขออธิบายถึงประวัติศาสตร์การพัฒนามาเป็นเช่นไปใน
วิวัฒนาการของมนุษย์....แต่จะขอนำเสนอในการวิเคราะห์ในภาพรวมของความเชื่อใน 3 ศาสนาหลักเลย...กล่าวคือ...จะอธิบายถึงหลักการทางฟิสิกส์ในหัวข้อเหล่านี้
คือ...


-ความเชื่อในเรื่อง...นิพพานของศาสนาพุทธ....กฎแห่งกรรม...ภพชาติต่างๆในพุทธและ
ฮินดู....

-ความเชื่อในพระเจ้า....การดำรงอยู่ที่เป็นนิรันดร์(ชั่วฟ้าดินสลาย)ของพระ
เจ้า...ความหมายของวันพิพากษา....เนื้อหาและเจตจำนง....การตีความหมายในทาง
ฟิสิกส์ในเชิงประจักษ์นิยม.....

-พลังงานในจักรวาล....ที่เป็นปัจจัยในการก่อรูปในระบบที่มีความเร็วแตกต่าง....
ฟิสิกส์โลกของนรก...และฟิสิกส์โลกของสวรรค์ คืออะไร...


การกล่าวในหัวข้อเหล่านี้จะเป็นเพียงการทำความเข้าใจให้เห็นภาพรวมกว้างๆ.....
ว่าที่จริงแล้วทั้งจักรวาล....สรรพสิ่งล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน....และขอ
กล่าวโดยรวมๆอาจไม่เน้นเป็นหัวข้อๆ...

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า15

ฟิสิกส์สุนทรียภาพความงามความรักบนโลกเสมือน
ตอน..ทิศทางการก่อรูปของอารมณ์

ผม...reddragon...ทำการผ่าตัดหัวใจซุนปิน...ต่อ...ก็เอาหัวใจเสมือนใส่เข้าไป
แทน...ไม่มีปฏิกิริยาในการต่อต้านใดๆจากระบบของร่างกายแถมยังใช้งานได้ดีกว่า
เดิมเสียอีก....
งงเหมือนกันครับหัวใจเสมือนกลับใช้งานได้ดี.......อ่านบันทึกจากคลื่นหัวใจที่
ผ่าออกดูต่อครับ....ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับทิศทางการก่อรูปการ....

ผม...ซุนปิน..เมื่อครั้งเรียนหนังสือใต้ต้นหางนกยูง....ตอนเข้าเรียนวิชาปรัชญา ฟังอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยาย...ก็วันๆเอาแต่นั่งจดว่าอาจารย์ที่บรรยายจะหัวเราะ
กี่ครั้ง....

และก็นั่งหัวเราะนับจำนวนครั้งกับเพื่อน....ชั่วโมงหนึ่งเป็นหลายร้อยครั้ง
ครับ...เพราะท่านพูดไปหนึ่งคำ..หนึ่งประโยค..ก็หัวเราะตลอด...อืม อาจารย์ท่าน
อาจมีนิสัยของอารมณ์ดี......

ฟังแนวคิดหลากหลายของปรัชญาเมธีตะวันตกมากมายด้วยความสับสนและมึนงงจากท่าน
บรรยาย...ไม่ว่าจะเป็นความรักสารพัดแบบ....เพราะมันหลากหลายจนผมมึนงงหาหลักการ
ทั่วไปไม่ได้....

และด้วยความขี้เกียจ...และไม่ใส่ใจเรียน...มาอ่านหนังสือก่อนวันสอบวัน
เดียว.....ผลยังไงครับสลึมสลือไปสอบเพราะไม่ได้นอนเลย....ผลไม่ต้องบอกก็คง
ทราบ...ตกแน่นอน..เพราะมันต้องตอบเป็นอัตนัย..ส่งกระดาษเปล่า....แฮ่...น้องๆ
อย่าเอาเยี่ยงอย่างละ....ก็เลยเปลี่ยนมาลงวิชาใหม่เพราะมันเป็นวิชาเลือก
ครับ....

หลังจาก...เหตุการณ์ที่ผันแปรที่ต้องมาศึกษาอย่างหนักอีกครั้งในรอบ4ปี...และไม่
ใช่วิชาอะไรครับ....ก็ปรัชญาอีกแหละ....แต่เป็นปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ....คราวนี้
ค่อยยังชั่วที่พอจะรู้หลักเกณท์....หรือแบบวิธีคิดหรือกฎเกณท์ทั่วไปในการคิด
มั่ง....

ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องค้นคว้า....ในฐานะที่กฎเหล็กของจิตสำนึกมันบังคับ....ที่
ว่าไม่กลัวลำบากไม่กลัวตาย...ของสมาชิกสันนิบาตเยาวชนและสมาชิกพรรค...

ผม...อายุแค่20 กว่าปีต้องมารับภาระหน้าที่ในการ....เป็นผู้บรรยายทฤษฎี...เรียบ
เรียง...และนำการสัมมนา...ประจำโรงเรียนสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับสูงในเขตุหนึ่ง
ร่วมกับเพื่อนอีก2คน....

ผู้ปฏิบัติงานระดับสูงในเขตุนี้จะต้องมาเข้าเรียน....เดิมที3เดือน...ต่อมาปรับ
ใหม่เป็น1เดือน...หมุนเวียนไปเรื่อย....จนถึงบรรดาผู้ได้รับการคัดเลือกเป็น
สมาชิกพรรคซึ่งจะต้องมาเข้าเรียน...

หลักสูตร...นอกจากปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี...ยังมีเรื่องยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของ
สงคราม...การวิเคราะห์สังคมไทยด้วยทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์....การสร้าง
พรรค...ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์..ฯลฯ

ภาระหน้าที่บนพื้นฐานของจิตสำนึก....ที่ต้องทำดังได้กล่าว.....ตั้งแต่เช้าจรด 3
-4 ทุ่มเกือบทุกวัน...ในแต่ละรุ่น..ที่ต้องใช้เวลารุ่นละเดือน....

มีอยู่รุ่นหนึ่ง...เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย 3 คน...ที่เข้าร่วม....อืม..
เด็ก 20 ปีบรรยายและนำสัมมนาอาจารย์ท่านเหล่านี้....เป็นบรรยากาศการศึกษาที่ดี
ครับ...ทุกท่านเข้าใจในภาระหน้าที่ของแต่ละคนและศึกษาซึ่งกันและกันเคารพเหตุและ
ผลบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค....

นี่แหละ.....เป็นบรรยากาศเช่นเดียวกับบนโลกเสมือน......เสรีภาพในการคิดใดๆ...
ก่อเกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเสมอ...

ตรงนี้แหละจึงทำให้ผม...ซุนปิน...เข้าใจคำว่าปรัชญาคืออะไร.....

ปรัชญา...ก็คือหลักหรือกรอบในการคิด...

ไม่มีหลักแห่งการคิด....ก็ไม่ต่างจากไม่มีอาวุธหรือเครื่องมือ(แฮ่...เปรียบ
เทียบเฉยๆ..อย่าไปคิดไกลถึงเรื่องฆ่าแกงกัน)

มีหลักการคิดแล้ว....แต่ไม่มีทิศทาง...หรือวิเคราะห์กรอบแห่งทิศทางไม่ออก...
แล้วจะยิงศรไปได้ตรงเป้าอย่างไร.....

กระบวนทัศน์ใดๆ....ล้วนมีกรอบแห่งทิศทางกำกับ....อยู่ที่จะเลือกกรอบทิศทาง
ไหน....

โธ่....ท่านกามเทพ...ทิศทางอื่นก็มี...ทำไมต้องมาเล็งศรตรงหัวใจผมด้วยละ
ครับ...

ทราบแล้วครับฝีมือท่านแม่นมาก....
อ้าว...ก็เปลี่ยนเป็นหัวใจเสมือนแล้วนี่...จะเจ็บได้ยังไง...!!!

..............................


ทิศทางการก่อรูปการของอารมณ์


จากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์....ที่มีพัฒนาการ
มาถึงทฤษฎีควอนตัม....ที่ค้นคว้าทดลองหาข้อสรุปต่างๆเพื่อหากฎเกณท์ทั่วไปหรือ
ค่าคงที่หรือค่าสัมบูรณ์ใดๆในกรอบอ้างอิง....เพื่อตรวจวัดการประมาณการในการตรวจ
วัดในสิ่งที่กว้างไกลออกไปในจักรวาล....และสิ่งที่เล็กลงไปในโลกทางวัตถุใน
ฟิสิกส์อนุภาคเพื่อหาคำอธิบายในปรากฏการณ์เหล่านั้น....และนำมาประยุกต์รับใช้
มนุษย์....

การวิเคราะห์ภายใต้กระบวนทัศน์แบบแยกส่วนเพื่อตรวจวัดปรากฎการณ์ต่างๆและกรอบแนว
คิดแบบประจักษ์นิยมแบบกลไก...ทำให้เกิดการแยกโลกในทางจิตใจของมนุษย์กลายเป็น
สิ่งที่เรียกว่าอยู่นอกเหนือฟิสิกส์ (meta-physic)....ทั้งๆที่ปรากฎการณ์ทางจิต
เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ...และก็เป็นไปตามกฎเกณท์ทางธรรมชาติหรือหลักการ
ทางฟิสิกส์....

ความงาม...ความรัก...ความเชื่อ...ศาสนา...ลัทธิ...อารมณ์ต่างนาๆ...ฯลฯ....ล้วน
ดำรงอยู่จริง...และเป็นไปตามกฎเกณท์ทางธรรมชาติ....ที่เป็นกฏเกณท์ทางฟิสิกส์
เมื่อเราตรวจวัดในเชิงประจักษ์นิยม.....

พลังงานต่างๆเหล่านี้ที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ....และภายใต้อันตรกิริยาที่เกิดขึ้น
ของมนุษย์...ในความหลากหลายแห่งอันตรกิริยากับ....ระบบรูปการทางวัตถุที่หลาก
หลายระบบความเร็ว...และมีการทับซ้อนกัน...

ถ้าเราลองหลับตาลง...และจินตนาการดู....ขณะนี้ไม่มีแสงดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกลับ
มายังสายตาเรา.....เราก็จะเห็นว่าดวงดาวบนท้องฟ้าที่เป็นดาวฤกษ์ต่างส่องแสงเดิน
ทางมายังสายตาของเราที่แตกต่างกัน....บางดวงก็หลายล้านปีแสง..บางดวงก็สิบยี่สิบ
ปีแสง...บางดวงก็สะท้อนแสงของดาวดวงอื่น.....แต่ ณ. เวลานี้เราที่ยืนดูเห็นเป็น
องค์รวมเดียวกัน....ณ.เวลาอ้างอิงเดียวกันในปัจจุบันแห่งวัตถุ...

และถ้าเราจินตนาการอีกว่าคราวนี้...มีดวงอาทิตย์....แสงที่เรามองเห็นยามค่ำคืน
ก็เป็นอันตรกิริยาของแสงดวงอาทิตย์และแสงจากดวงดาวเหล่านั้น....และถ้าเรา
จินตนาการลึกลงไปอีกเราก็จะเห็นว่า....ดวงอาทิตย์มีแสงอื่นอีกหรือไม่นอกเหนือ
จากคลื่นความถี่ที่ประกอบเป็นแสงสีขาว.....

และเมื่อเรามองใกล้เข้ามาในสมองเรา....เราจะเห็นว่าข้อมูลที่เก็บบนสมอง...
เหมือนกับดาวบนฟ้า...เป็นการบันทึกเรื่องราวมากมายหลากหลายทั้งร่องรอย
แห่งอดีต...ยังรวมไปถึงความไฝ่ฝันแห่งอนาคต....ก่อเกิดรูปการใหม่ทางความคิด..ณ.
เวลาอ้างอิงปัจจุบัน...

ร่องรอยแห่งเหตุการณ์ของอดีต....และร่องรอยแห่งความคิดคำนึงของอนาคต....มันก่อ
รูปการได้อย่างไร...ในกระบวนการดำรงอยู่ทางความคิดของมนุษย์....

และด้วยหลักการทางฟิสิกส์....การก่อรูปการทางวัตถุ....ล้วนแล้วต้องสัมพันธ์กับ
พลังงานและทิศทางแห่งการเคลื่อนที่....

ไม่เว้นแม้แต่ระบบความเร็วต่ำ....หรือการเคลื่อนที่ในกรอบเฉื่อย....เช่นกฎของ
แบร์นุยยี...ที่นำมาประยุกต์หลักการสร้างปีกเครื่องบินในการไหลของไหลที่มีความ
เร็วต่างกัน....หรือในหลักการของแอโร่ไดนามิกส์....ฯลฯ....แม้แต่ในระบบสังคม..
เราก็จะให้คำอธิบายที่ละเอียดเพิ่มขึ้น...ถึงการก่อรูปการทางวัตถุ....เช่นการ
หมุนตามร่องรอยเดิมของกรอบความคิดก็ทำให้เรากลายเป็นอดีตไปเมื่อรอบข้างมีการ
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง....

หลักการพื้นฐานของ...ทฤษฎีฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(TOE) จะทำให้เราค้นคว้าราย
ละเอียดในสรรรพวิชาต่างๆ....บนทิศทางที่ถูกต้อง....และเข้าใจถึงองค์รวมแห่งสรรพ
สิ่งบนจักรวาลนี้....ที่ต่างล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน......

..................................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(12)

ทิศทางการก่อรูปการของอารมณ์


ในการประยุกต์หลักการทาง ทฤษฎีใดๆล้วนเป็นการค้นคิดพัฒนาขึ้นมาของมนุษย์เพื่อ
ที่จะนำมารับใช้มนุษย์.....การประยุกต์ใดๆในขั้นแรกก็ต้องทำความเข้าใจในหลักการ
พื้นฐานนั้นๆ....

นั่นก็คือหลักการพื้นฐานของกฎเกณท์ความเป็นไปของธรรมชาติทั้งในทางวิทยาศาสตร์
ธรรมชาติและสังคม....

หลักการพื้นฐานก็คือหลักการทางฟิสิกส์ขององค์รวมวัตถุทางกายภาพและหลักการพื้น
ฐานองค์รวมทางด้านจิตใจ....ซึ่งประกอบเป็นองค์รวมของมนุษย์ที่มีอันตรกิริยากับ
ภายนอก.....
กฎเกณท์ทั่วไปในการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ....ล้วนมีทิศทางในการพัฒนาเปลี่ยน
แปลงไปตามกระบวนการนั้นๆ....

ในการประยุกต์หลักการทางด้านสุนทรียภาพของอารมณ์....เช่นการเสนองานด้านศิลปใน
การสื่อออกมาเป็นภาพวาด....นอกจากเราจะต้องทำความเข้าใจในด้านการสื่อรูป
สัญญลักษณ์ตามหลักการทางศิลปะ...เช่น ทฤษฎีสี ความกลมกลืน..ความสมดุล ฯลฯ....
สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจอีกก็คือ...
ทิศทางการก่อรูปการของอารมณ์หรือจิตใจ...ซึ่งเป็นระบบที่มีความเร็วที่แตกต่าง
จากองค์รวมด้านวัตถุในทางกายภาพ.....ในการประยุกต์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆก็เช่น
กัน....ก็ต้องคำนึงถึงการหาค่าประมาณการหรือค่าสัมบูรณ์ในกรอบอ้างอิงที่ต้อง
คำนึงถึงความเร็วของสองระบบที่แตกต่างกัน....

ในการก่อรูปการทางวัตถุของระบบใดๆ....ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของระบบ
ที่มีความเร็วสูงขึ้นหรือระบบที่มีความเร็วต่ำลง.....เช่น...

ระบบความคิดใดๆของคนเรา....ล้วนเกิดจากการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่..ณ.เวลาอ้างอิง
ปัจจุบัน....และล้วนเป็นการก่อรูปการขึ้นของ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและ
กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงความคิดคำนึงแห่งอนาคต...เช่นอุดมคติ อุดมการณ์ ความไฝ่ฝัน ความหวัง ของเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด....

การรังสรรค์ที่เกิดขึ้นได้ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของระบบความคิดและจิตใจ อันเป็นไปตามหลักการพื้นฐานของฟิสิกส์ที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วแสงในระบบจิต
ใจของมนุษย์...

การเกิดรูปการทางวัตถุ....เกิดจากอันตรกิริยาที่ระบบแห่งความเร็วสูงได้ลดระดับ
ของความเร็วลง....เมื่อสมองซึ่งเก็บข้อมูลทั้งหมดของอดีตปัจจุบันและอนาคต.... ประมวลเหตุการณ์ดังกล่าว ภายใต้ความต้องการทางด้านจิตใจ....ก็แปรเปลี่ยนไปสู่
การกระทำจากการสั่งงานของสมอง....หรือจากระบบของจิตใจที่มีความเร็วสูงกว่าระบบ
ทางวัตถุ....จึงมีความยาวกว่าของเวลาที่ครอบคลุมอดีตปัจจุบันและอนาคตของระบบ
ความเร็วแสง.......


เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น....ผม reddragon ต้องมาบันทึกแทนซุนปิน....เพราะจะต้อง
มาเป็นหมอจำเป็น...ผ่าตัดหัวใจซุนปินให้เห็นโครงสร้างพื้นฐานทางฟิสิกส์....

โครงสร้างพื้นฐานของแบบจำลองสุนทรียภาพความงามความรักบนโลกเสมือน...ที่ต้องยก
ตัวอย่างนี้ก็เพราะ....บนโลกนี้ ณ.เวลาปัจจุบัน...มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะ
ตรวจวัดการก่อรูปการทางวัตถุของระบบความเร็วเหนือกว่าระบบความเร็วแสง.....และ
ระบบความเร็วที่ต่ำกว่าการก่อรูปการมนุษย์...

เมื่อมีเครื่องมือเดียว....คือมนุษย์....และเป็นเครื่องมือพิสดารที่รับรู้ไม่
เหมือนกันอย่างสัมบูรณ์ในด้านจิตใจในแต่ละคน.....

การที่จะเข้าใจความผันแปรไปของอารมณ์อย่างเป็นรูปธรรม...การสื่อให้เข้าใจต้อง
ใช้สุนทรียภาพในการสื่อจึงจะเกิดจินตนาการ....ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้โดยการสื่อ
อย่างหยาบๆเช่นตัวเลขสมการทางคณิตศาสตร์.....ซึ่งจะทำให้ขาดจินตนาการในการรับ
รู้ทางสุนทรียภาพของอารมณ์...

ผมredragon ต้องขออภัยที่ต้องขนมารยาชายล้านเล่มเกวียนมาทดสอบและอธิบายให้รับ
รู้สุนทรียภาพของอารมณ์ที่เสมือนจริงอันผันแปรไปบนโลกเสมือนนี้.....อันเป็น
เสมือนห้องทดลองทางฟิสิกส์ของอารมณ์.....เพื่อหาหลักการทั่วไปในทางฟิสิกส์ที่
ทุกคนร่วมกันบันทึกไว้

ผมแอบได้ยินเสียงของหัวใจหลายคนบ่นอื้ออึง...ว่า..ผู้ชายมันก็แบบนี้แหละทุก
คน....บางเสียงก็ว่า..นี่แหละพวกงูเก็งกอง...ฯลฯ...สารพัดเสียงจากหัวใจอันเป็น
ความหลากหลายของข้อมูลในอันตรกิริยาของแต่ละคน.....

แต่นั่นแหละ...ถ้าไม่ดูจากโลกเสมือนไซเบอร์....มันยกตัวอย่างยากกับระบบความเร็ว
สูง

จากการผ่าตัดหัวใจ...ของซุนปิน...ที่ให้ซุนปินเก็บข้อมูลกลายเป็นว่าซุนปินก็นำ
เอารูปการต่างๆที่แสดงออกบนไซเบอร์แห่งนี้มาก่อรูปการใหม่ทางอารมณ์...ซุนปินได้
บันทึกในหน้าสีส้มดังนี้...


เปิดบันทึกหน้าสีส้ม...

ผม...ซุนปิน....ตื่นจากภวังค์เมื่อกิ่งหางนกยูงกิ่งเล็กๆกิ่งหนึ่งหล่นลงมาใส่
หัวอาการตาลายจาก 9มิติก็เลยหาย.......

สีส้มหางนกยูงแท้ๆทำไมเป็นสีส้มทองกวาวได้ก็เพราะเหตุผลดังนี้ครับ....เมื่อเกิด
อันตรกิริยากับการสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับสีส้มของทองกวาว....ผมก็เก็บเอามาก่อ
รูปการทางอารมณ์ขึ้นมาใหม่โดยเกิดจากเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของอดีตเท่า
นั้น...เกิดจากเหตุการณ์ในอดีตที่สาวน้อยทองกวาวคนหนึ่ง เคยแสดงถึงน้ำใจและ
มิตรภาพที่ดีเห็นผมซุนปินนั่งอยู่คนเดียวเพราะคนอื่นเขาออกไปเป็นคู่ๆเต้นรำกับ
คู่ของเขา.....ก็แค่เขามาชวนเราออกไปเต้นรำ...ก็แค่นั้นเอง....นี่แหละจึงเกิด
แรงบันดาลใจในการเขียนฟิสิกส์ระบำปลายเท้า......ที่จำได้ก็คือน้ำใจและมิตรภาพ
ที่ดีงามของเธอ....แม้ระยะแค่สั้นๆมากและเธอเองก็มีคนรักอยู่ที่ต่างประเทศอยู่
แล้ว.....แต่ก็จดจำได้เพราะเหตุนี้

อีกรูปการหนึ่งก็เกิดจาก...สมัยนั่งเรียนใต้ต้นหางนกยูงริมแม่น้ำเจ้าพระยา....
สาวน้อยผมยาวตากลมอีกคนก็มีน้ำใจดีเหลือเกินสำหรับคนขี้เกียจแบบซุนปิน....ไป
เล็กเชอร์ให้บ่อย...และอื่นๆ...ไม่ขอกล่าวละ....รูปการในอดีตอีกหลายรูปการ....
ก็ไม่ขอกล่าวเช่นกัน...

นี่เป็นเพียงการก่อรูปการโดยนำเอาความประทับใจต่างๆจากเหตุการณ์ในอดีต....มา
ผนวกเข้ากับอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นภายใต้การรับสื่อจากปัจจุบันบนโลกไซเบอร์...
และก่อเกิดรูปการใหม่หลายๆรูปการ...ในทางอารมณ์....



สรุป...การเกิดรูปการทางอารมณ์ ณ. เวลาปัจจุบันใดๆ....ล้วนเป็นการรังสรรค์ขึ้น
มาใหม่ที่ไม่เหมือนรูปการเดิม....หากแต่ยังมีร่องรอยของอดีต...และมีแนวโน้มของ
ทิศทางในอนาคต...

ทั้งนี้เนื่องจากเป็นระบบที่เร็วสูงการผันแปรที่สูงในการก่อรูปการวัตถุบนระบบ
หรืออารมณ์...และทิศทางที่เกิด...อยู่บนรากฐานร่องรอยแห่งอดีตที่ซึมซับในทิศทาง
ใด....เช่นรูปการแห่งตัวตนหรือออกไปจากตัวตน....เป็นต้น...

นี่แหละจึงเป็นเหตุให้เราเตรียมพร้อมในความมั่นคงแห่งอารมณ์เพื่อรับกับการแปร
เปลี่ยนที่เร็วสูงมากในระบบความเร็วสูง....

จากข้อมูลของซุนปิน...นี่แหละผมredragon ต้องมาบันทึกเอง....เพราะขืนให้ไปก่อ
รูปการอีกเรื่อยๆ...มีหวังสรุปหลักการพื้นฐานทางฟิสิกส์ไม่ได้.....แล้วจะไปสรุป
อาการแพ้ใจในระบบความเร็วสูงได้อย่างไรกันนี่...

จากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์....ที่มีพัฒนาการ
มาถึงทฤษฎีควอนตัม....ที่ค้นคว้าทดลองหาข้อสรุปต่างๆเพื่อหากฎเกณท์ทั่วไปหรือ
ค่าคงที่หรือค่าสัมบูรณ์ใดๆในกรอบอ้างอิง....เพื่อตรวจวัดการประมาณการในการตรวจ
วัดในสิ่งที่กว้างไกลออกไปในจักรวาล....และสิ่งที่เล็กลงไปในโลกทางวัตถุใน
ฟิสิกส์อนุภาคเพื่อหาคำอธิบายในปรากฏการณ์เหล่านั้น....และนำมาประยุกต์รับใช้
มนุษย์....

การวิเคราะห์ภายใต้กระบวนทัศน์แบบแยกส่วนเพื่อตรวจวัดปรากฎการณ์ต่างๆและกรอบแนว
คิดแบบประจักษ์นิยมแบบกลไก...ทำให้เกิดการแยกโลกในทางจิตใจของมนุษย์กลายเป็น
สิ่งที่เรียกว่าอยู่นอกเหนือฟิสิกส์ (meta-physic)....ทั้งๆที่ปรากฎการณ์ทางจิต
เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ...และก็เป็นไปตามกฎเกณท์ทางธรรมชาติหรือหลักการ
ทางฟิสิกส์....

ความงาม...ความรัก...ความเชื่อ...ศาสนา...ลัทธิ...อารมณ์ต่างนาๆ...ฯลฯ....ล้วน
ดำรงอยู่จริง...และเป็นไปตามกฎเกณท์ทางธรรมชาติ....ที่เป็นกฏเกณท์ทางฟิสิกส์
เมื่อเราตรวจวัดในเชิงประจักษ์นิยม.....

พลังงานต่างๆเหล่านี้ที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ....และภายใต้อันตรกิริยาที่เกิดขึ้น
ของมนุษย์...ในความหลากหลายแห่งอันตรกิริยากับ....ระบบรูปการทางวัตถุที่หลาก
หลายระบบความเร็ว...และมีการทับซ้อนกัน...

ถ้าเราลองหลับตาลง...และจินตนาการดู....ขณะนี้ไม่มีแสงดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกลับ
มายังสายตาเรา.....เราก็จะเห็นว่าดวงดาวบนท้องฟ้าที่เป็นดาวฤกษ์ต่างส่องแสงเดิน
ทางมายังสายตาของเราที่แตกต่างกัน....บางดวงก็หลายล้านปีแสง..บางดวงก็สิบยี่สิบ
ปีแสง...บางดวงก็สะท้อนแสงของดาวดวงอื่น.....แต่ ณ. เวลานี้เราที่ยืนดูเห็นเป็น
องค์รวมเดียวกัน....ณ.เวลาอ้างอิงเดียวกันในปัจจุบันแห่งวัตถุ...

และถ้าเราจินตนาการอีกว่าคราวนี้...มีดวงอาทิตย์....แสงที่เรามองเห็นยามค่ำคืน
ก็เป็นอันตรกิริยาของแสงดวงอาทิตย์และแสงจากดวงดาวเหล่านั้น....และถ้าเรา
จินตนาการลึกลงไปอีกเราก็จะเห็นว่า....ดวงอาทิตย์มีแสงอื่นอีกหรือไม่นอกเหนือ
จากคลื่นความถี่ที่ประกอบเป็นแสงสีขาว.....

และเมื่อเรามองใกล้เข้ามาในสมองเรา....เราจะเห็นว่าข้อมูลที่เก็บบนสมอง...
เหมือนกับดาวบนฟ้า...เป็นการบันทึกเรื่องราวมากมายหลากหลายทั้งร่องรอย
แห่งอดีต...ยังรวมไปถึงความไฝ่ฝันแห่งอนาคต....ก่อเกิดรูปการใหม่ทางความคิด..ณ.
เวลาอ้างอิงปัจจุบัน...

ร่องรอยแห่งเหตุการณ์ของอดีต....และร่องรอยแห่งความคิดคำนึงของอนาคต....มันก่อ
รูปการได้อย่างไร...ในกระบวนการดำรงอยู่ทางความคิดของมนุษย์....

และด้วยหลักการทางฟิสิกส์....การก่อรูปการทางวัตถุ....ล้วนแล้วต้องสัมพันธ์กับ
พลังงานและทิศทางแห่งการเคลื่อนที่....

ไม่เว้นแม้แต่ระบบความเร็วต่ำ....หรือการเคลื่อนที่ในกรอบเฉื่อย....เช่นกฎของ
แบร์นุยยี...ที่นำมาประยุกต์หลักการสร้างปีกเครื่องบินในการไหลของไหลที่มีความ
เร็วต่างกัน....หรือในหลักการของแอโร่ไดนามิกส์....ฯลฯ....แม้แต่ในระบบสังคม..
เราก็จะให้คำอธิบายที่ละเอียดเพิ่มขึ้น...ถึงการก่อรูปการทางวัตถุ....เช่นการ
หมุนตามร่องรอยเดิมของกรอบความคิดก็ทำให้เรากลายเป็นอดีตไปเมื่อรอบข้างมีการ
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง....

หลักการพื้นฐานของ...ทฤษฎีฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(TOE) จะทำให้เราค้นคว้าราย
ละเอียดในสรรรพวิชาต่างๆ....บนทิศทางที่ถูกต้อง....และเข้าใจถึงองค์รวมแห่งสรรพ
สิ่งบนจักรวาลนี้....ที่ต่างล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน......

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(11)

“....รัก..แค่ไหน...บอกหน่อยซิ..”
“ เท่าฟ้า...” เสียงตอบใสๆของแม่สาวน้อย...
“ อืม...ไม่พอหรอก...แถมอีกนิดไม่ได้เหรอ..” เสียงต่อรองของผู้เป็นพ่อ...

“ ไม่ได้หรอก..” เสียงสาวน้อยตอบ...หลังชะงักและต้องหยุดคิดครู่หนึ่ง....
“ เถอะน่า...แถมนิดหนึ่งก็ได้...” ผู้เป็นพ่อตื้อต่อ...
“ เอ้า...ก็ได้..” สาวน้อยตัดบทด้วยความรำคาญ.....และพูดต่อ...
“ พ่อต้องหลับตาก่อนนะ..”...

พอพ่อหลับตา...สาวน้อยก็หอมฟอดหนึ่งที่แก้มผู้เป็นพ่อ...พร้อมพูดสำทับ...
“ ห้ามขอแถมต่อนะ”......

กลับตารปัดกลายเป็นผู้เป็นพ่อแถมให้มากกว่าหลายฟอด....ขณะที่สาวน้อยหัวเราะคิก
คัก...อย่างมีความสุข...


ผม...ซุนปิน...เห็นภาพพ่อลูกคู่นี้...ที่พูดคุยกัน ก็ยังพลอยรับรู้กับความงาม
ความรักที่ผ่านสื่อในรูปของการกระทำที่เกิดขึ้น....

อารมณ์ความงามความรัก...ที่ผ่านมายังสนามแรงและก่อเกิดอันตรกิริยาขึ้นในใจ
ผม....

เช่นกันกับความงามของธรรมชาติที่ร่มรื่น....ของสวนสาธารณะแห่งนี้.....ก็ก่อเกิด
อันตรกิริยาที่เรานำมาก่อรูปการแห่งความงามความรักในใจ....

และรูปการต่างๆอยู่ที่เราจะเลือกนำมาก่อเกิด....หรือ...หักห้ามไม่ให้ก่อหรือ
ขยายตัวไปสู่การก่อรูปการทางวัตถุภายใต้ระบบของความเร็วแสง....
นั่นหมายความว่า....เราเลือกทิศทางได้ว่า...จะเป็นทิศทางที่สูงขึ้นหรือต่ำ
ลง....ของการก่อรูปการในกระบวนแห่งความเร็วที่แตกต่าง....

การก่อรูปการในระดับสูง...อันเป็นระบบของความเร็วที่สูงและมีอันตรกิริยาภายใต้
พลังงานที่สูง...เมื่อเทียบอย่างสัมพัทธ์กับระบบการก่อรูปทางวัตถุ...
ระหว่าง...ทิศทางแห่งการสูญสลาย....และทิศทางแห่งการพอกพูนหนาแน่นในระดับความ
เร็วที่ต่ำกว่าการก่อรูปการทางวัตถุ....

เพื่อไม่ให้สับสน....ในการอธิบาย....คำเปรียบเทียบง่ายๆเช่น...นรก..ที่เกิดขึ้น
ในใจ...คงจะทำให้เห็นภาพของระบบความเร็วต่ำกว่าการก่อรูปการทางวัตถุ.....และ
สวรรค์...ที่เกิดขึ้นก็คือรูปการที่เกิดขึ้นใหม่อันมีพัฒนาการของระบบที่มีความ
เร็วสูงกว่าระบบแห่งการก่อรูปการทางวัตถุ....

การวัดค่าประมาณการความงามความรัก...

โดยปกติการดำเนินชีวิตของคนเรา....จะดำเนินไปในลักษณะที่เรียกว่า...ระบบแห่ง
ดุลยภาพที่มีการเคลื่อนที่....ของดุลยภาพระหว่างความฝันกับความเป็นจริง....

การก่อรูปการใหม่ขึ้นของอารมณ์...อันเป็นทิศทางแห่งอนาคต...ที่เราจะเลือก..
อยู่ที่เราจะเลือกทิศทางไหน...ระหว่างระบบความเร็วใต้ระบบความเร็วแสงหรือระบบ
ที่ต่ำกว่าการก่อรูปการทางวัตถุ.....และทิศทางที่มีพัฒนาการสูงขึ้น...
ระหว่าง...นรก...มนุษย์....และสวรรค์.....


จากตัวอย่างการสนทนาของพ่อกับลูกสาวข้างบน....

การประมาณการตรวจวัดขนาดปริมาณและคุณภาพความรัก...ของสาวน้อยคนนั้นเท่ากับความ
กว้างท้องฟ้าเท่าที่แม่สาวน้อยรับรู้และมองเห็น...และแถมด้วยหอมแก้มหนึ่ง
ฟอด...

ท้องฟ้าของผู้เป็นพ่อก็ต้องกว้างกว่าตามการรับรู้....และยังต้องเสียกับการแถม
ความรักให้สาวน้อยไปหลายฟอด...

แล้วผู้เป็นพ่อจะได้รับความรักจากสาวน้อยหรือ....

ความจริงแล้ว....ขนาดประมาณการที่แท้จริง...คือความสุขที่ได้รับต่างหาก....
ความสุขในการแสดงออก...ผ่านสื่อสัญญลักษณ์ใดๆ...และเกิดอันตรกิริยาที่เกิดขึ้น
ในใจ...
ส่งผลกระทบทั้งผู้ให้...ผู้รับ...และคนรอบข้าง....


จากแบบจำลองการก่อรูปการของอารมณ์....ภายใต้การสัมผัสกับสื่อต่างๆ...ที่แสดงออก
มาอย่างเช่นในรูปการแสดงความรัก...ของพ่อกับลูกสาวในตอนที่แล้ว...

การก่อเกิดรูปการอารมณ์แห่งความสุขที่เกิดขึ้น.....ล้วนอยู่บนพื้นฐานร่องรอย
แห่งการกระทำที่บันทึกไว้ของอดีต....

สื่อ...ที่แสดงออกแฝงด้วยสัญญลักษณ์....ที่ผู้รับนำไปก่อรูปการใหม่ในใจ...
อันเป็นรูปการแห่งอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่....ระหว่างความสุข...หรือความ
ทุกข์...
ระหว่างรูปการแห่งทิศทางที่มีการพัฒนาของระบบความเร็วสูงขึ้น...และระบบความเร็ว
ต่ำกว่าระบบความเร็วในการก่อรูปทางวัตถุที่เราดำรงอยู่....

บางคนก็เมื่อมองภาพเหล่านั้นด้วยความสุข...บางคนเมื่อมองภาพเหล่านั้นกลับเพิ่ม
ความทุกข์ใจหนักเพิ่มขึ้น....ทั้งๆที่เป็นภาพเดียวกันจากการสื่ออันเดียว
กัน....

ร่องรอยแห่งความสุขในอดีต....และอันตรกิริยากับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน....ก่อรูปการแห่งอารมณ์ขึ้นมาใหม่....ด้วยรูปแบบใหม่ไม่ใช่เหมือนกับ
การก็อปปี้มา.....
รูปการที่เกิดขึ้นมาใหม่ของอารมณ์...แตกต่างทั้งขนาด...ปริมาณ...ใดๆกับรูปการใน
อดีต...

การเกิดรูปการแห่งความทุกข์....อันเกิดจากการก่อรูปอารมณ์ความงามความรักในแบบ
เพื่อตน.....ภายใต้การเกิดขึ้นของความต้องการก่อรูปการในทางวัตถุที่มีปริมาณ
เพิ่มขึ้น...จากสื่อต่างๆที่มากระตุ้นและเกิดอันตรกิริยาในใจเป็นผลให้ทิศทางของ
ความเร็วลดลง...เพื่อก่อรูปทางวัตถุ...

ตรงกันข้าม...การก่อรูปของอารมณ์ความรักที่ออกไปจากตัวตนใดๆ...ย่อมที่จะไม่มี
อารมณ์แห่งความทุกข์ใดๆเกิดขึ้น....และก่อเกิดการหลอมรวมของมวลพลังงานให้เกิด
การขับเคลื่อนที่สูงขึ้น...และมีทิศทางในการพัฒนาที่สูงขึ้นจากเดิม....

ร่องรอย....แห่งกรรม...อันเป็นรหัสแห่งอันตรกิริยาของอารมณ์ต่างๆที่ไม่สูญหายไป
จากจักรวาล......แปรเปลี่ยนไปมากน้อยตามและบุคคล...ที่จะส่งผลต่อการก่อรูปการ
ทางวัตถุ....

มนุษย์ทุกคน...สามารถที่จะเลือกการก่อเกิดในทิศทางไหน...ด้วยความพยายามทางอัต
วิสัยแห่งตน....หากพอกพูนให้หนาขึ้น...แน่นอนที่สุดก็จะเกิดการก่อรูปการของระบบ
ความเร็วต่ำกว่าความเร็วการก่อรูปการมนุษย์.....และนั่นหมายความว่าดำรงชีพอยู่
บนความทุกข์ทรมาณชั่วกัปป์กัลป์



ผม...ซุนปิน..มาบันทึกต่อ...อีก...ตามกรรม...หลัง reddragon กลับไปบ้านของตน
เอง...ที่บล็อกกระบวนทัศน์องค์รวม(ในกรอบ9มิติ)...เพื่อทำงานที่คั่งค้างให้
เสร็จ...นั่นแหละข้อความบันทึกอาจจะชาๆ...

เฮ้อ...เหนื่อยหน่อยนะครับ...กับการตามล่าหาความรัก....
ที่มันจะต้องไปไกลสุดจักรวาล...
และลึก...สุดขั้วหัวใจ....
แต่ยังไง....ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน...ลึกเพียงใด...ก็จะตามหาให้เจอ...!!!

....................................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า( 10 )

จินตภาพของคณิตศาสตร์แบบองค์รวม


คณิตศาสตร์...ก็คือการแทนค่าสิ่งที่เป็นนามธรรมและสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันเกิดจาก
การเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆและความสัมพันธ์ต่างๆ......โดยใช้สัญญลักษณ์แทนค่า
ประมาณการเหล่านั้น....โดยมีหลักการกว้างๆ...คือ...

-การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งอย่างสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ใดๆล้วนมีขอบเขตุแห่งการอ้าง
อิงที่กำหนดขึ้นในการเปรียบเทียบ...

-การดำรงอยู่ดังกล่าวของสรรพสิ่ง...อยู่ภายใต้สภาวะที่เกิดดุลยภาพอย่างสัมพัทธ์
ของสิ่งนั้นๆที่มีอันตรกิริยากับภายนอก....

-สิ่งใดๆในการตรวจวัด...ย่อมดำรงอยู่ทั้งการแสดงออกในเชิงรูปธรรมที่อธิบายในรูป
ระบบของจำนวนจริงในทางคณิตศาสตร์....และในเชิงนามธรรม หรือในเชิงจินตภาพในทาง
คณิตศาสตร์ที่มีการเปรียบเทียบ....


กระบวนทัศน์แบบองค์รวม....ภายใต้กรอบการวิเคราะห์แบบ 9 มิติ...ดังได้นำเสนอ
มา...เมื่อกล่าวถึงมิติที่9 หรือมิติแห่งองค์รวมพหุภาพ...( ซึ่งจะบันทึกลงภาย
หลัง..)

จินตภาพในการแทนค่าทางคณิตศาสตร์...ที่เราจะต้องมองในลักษณะแบบองค์รวม...
เช่น 1 เป็นค่าจำนวนเต็มของเลขฐานสิบ...เราจะต้องมองว่าขอบเขตุที่จะตรวจวัด
จำนวน..ระหว่าง 0 ไปถึง 1 นั้นมีค่าสัมบูรณ์เป็นอนันต์....เช่น 0.01ยกกำลัง
ล้าน...ไปจนถึงอินฟินิตรี้หรืออนันต์....เป็นต้น..

จินตภาพที่ว่า....องค์รวมพหุภาพที่มีการดำรงอยู่ ความกว้าง ความยาว ความหนา เงา วงแหวน การทับซ้อนของสเปก การทับซ้อนระบบเวลา ที่ประกอบขึ้นเป็นองค์รวมพหุ
ภาพ....นอกจากนั้นปริมาณของการทับซ้อนอันมีค่าอนันต์....(ในที่นี้ขอกล่าวแค่ 9 มิติ)

ค่าของ 1 ในความหมายของ....ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมหภาคและจุลภาค...
ระหว่างจักรวาลและหัวใจดวงน้อยๆของมนุษย์...มีความสัมพันธ์กันภายใต้กรอบอ้างอิง
แห่งระบบกาลาวกาศเดียวกัน....


ผม..ซุนปิน...ที่มาปวดหัวกับคณิตศาสตร์...ที่วิ่งเป็นตัวเลขเต็มหัวสมองเพราะ...
สงสารอังสุมาลิน...เขา....คือว่า...โกโบริเขานัดไว้ที่ ทางช้างเผือก....แหม..
นัดที่ไหนก็ไม่นัดไปนัดในบริเวณที่มีดาวล้านๆๆดวง....คุณทมยันตรีก็เข้าใจเขียน
ให้เขาไปเจอกันที่นั่น....

ผมก็เลยคิดว่า.....อังสุมาลินถ้ามียังไม่เสียชีวิตตั้งแต่สงครามโลกมาปัจจุบันก็
น่าจะอายุเป็นร้อยปีของระบบโลกและระบบสุริยะ....แต่โกโบริซึ่งยังหนุ่ม ตามทฤษฎี
สัมพัทธภาพ...เพราะยังอยู่ในระบบความเร็วสูงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง.....

ปัญหา ก็เลยมาทำให้ผมต้องปวดหัวคือ...จะหาตำแหน่งแห่งที่โกโบริได้ที่ไหน ณ. เวลาใด...เพื่อให้อังสุมาลินไปพบได้....

ตำแหน่งแห่งที่แบบประมาณการ....โดยไม่ต้องใช้จรวดปรับทิศทางนะ...สมการมันก็
ต้องกว้างมากๆ...เช่นบอกว่าทิศเหนือ...ทิศใต้เป็นต้น... แต่ถ้ารายละเอียดของทิศ
ทาง มันก็ต้องอธิบายในสมการของกลศาสตร์การเคลื่อนที่ของผี......

แฮ่ๆ....อย่าเพิ่งขนลุก....นี่เป็นวิชาการฟิสิกส์ขั้นสูงเลยนะครับ...

หรือใครจะคิดว่าบ้าก็แล้วแต่.....แต่เป็นสิ่งที่อธิบายได้ในเชิงแนวคิดแบบ
ประจักษ์นิยม ในทางฟิสิกส์ของระบบความเร็วเชิงซ้อนที่มีจำนวนอนันต์....ภายใต้
การสมมุติให้ความเร็วระบบสุริยะเท่ากับจำนวนหนึ่งใดๆในทางคณิตศาสตร์เพื่อใช้ใน
การแทนที่การตรวจวัด....เช่น..เท่ากับ 0 หรือเท่ากับ X ฯลฯ ตามแต่กรอบการวิ
เคราะห์ .....เพื่อจำแนกและตรวจวัดระบบความเร็วที่แตกต่างและทับซ้อนกัน....

...................................


ฟิสิกส์แห่งกรรม


การวิเคราะห์โครงสร้างแบบจำลองอารมณ์ความงามความรัก...บนโลกเสมือน...เป็นสิ่งจำ
เป็นอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจ...รูปธรรมแห่งอารมณ์...กระบวนแห่งการเกิดขึ้น
และการผันแปร...ของอารมณ์.....เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน
การทำความเข้าใจยกระดับคุรภาพทางอารมณ์ของตนเอง....

รูปธรรมของอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนไซเบอร์สเปซ....เช่นอารมณ์นานาชนิดหลาก
หลาย...ที่มีระดับแห่งปริมาณและคุณภาพที่แตกต่างกัน.....ความรัก...ความโลภ...
ความโกรธ...ความหลง...ตัณหา..ราคะ...ฯลฯ....ที่เรามองเห็นและจำแนกแยกแยะจำแนก
ประเภทได้จากรูปธรรมของอารมณ์ที่ถ่ายทอดเป็นอักษรบนเว็บไซท์ต่างๆของโลกเสมือน
จริงของอารมณ์....

ความแตกต่างในเชิงคุณภาพ....ตรวจวัดจากระดับของความลึก...และใช้บรรทัดฐานในแง่
ของทิศทาง...เช่นระหว่างตัวตน...กับออกไปจากตัวตน...การวัดในแบบนี้จะทำให้เรา
ทราบถึงทิศทางการพัฒนาไปของอารมณ์เหล่านั้น...ว่าจะก่อรูปในกระบวนการที่มีระดับ
สูงหรือต่ำหรือมีความเร็วช้าหรือสูง....มีปริมาณพลังงานในการก่อรูปมากหรือ
น้อย....เป็นต้น...

จาก...ภายในจิตใจ...ที่ได้รับการกระตุ้นพลังงานทางด้านจิตใจอันเกิดจากอันตร
กิริยาทางอารมณ์กับภายนอก...จนเกิดการก่อรูปการของอารมณ์ขึ้นและเป็นไปตามทิศทาง
แห่งกระบวนการนั้นๆ....

เช่น...ความอยาก...ความทุกข์...ที่แปรเปลี่ยนไปสู่การกระทำทางวัตถุ....หรือเข้า
สู่กระบวนการในระบบความเร็วอันก่อรูปการทางวัตถุ.....ตัวอย่างง่ายที่สุด...เช่น
แค่อ่านตัวอักษรทำไมเรารู้สึก...เบิกบาน...หรือเศร้า...บางคนก็รู้สึกอ้างว้างใน
การจากไปของเพื่อนๆในบล็อก....นี่คือรูปธรรมหนึ่งของการที่อารมณ์ในระดับหนึ่ง
แปรเปลี่ยนมาเป็นการกระทำทางวัตถุในระบบความเร็วแสง....


ความรักของชายหญิง....อันมีการเริ่มต้นจากกระบวนการของอารมณ์ที่สัมผัสกับความ
งามที่เกิดจากอารมณ์ที่ตนเองพึงพอใจ....ระยะแรกๆ...ซึ่งต่างฝ่ายต่างรับรู้ด้วย
ความรู้สึกแห่งอารมณ์....

อันตรกิริยาแห่งการแลกเปลี่ยน...เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนและรับรู้ในขั้นความ
รู้สึก...ก่อนที่จะก้าวไปสู่การรับรู้ขั้นเหตุผล...ซึ่งก็เป็นอารมณ์ในอีกระดับ
ที่มีระดับความสูงขึ้นจากเดิม.......

และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่า....ทำไมจึงต้องมีเวลาแห่งการทำความเข้าใจกัน....
นอกเหนือจากระบบทางความคิดหรือระบบแห่งการยึดมั่นของอารมณ์.....

การเคลื่อนที่ออกไปจากเดิมของสิ่งใดๆ....ล้วนต้องเกี่ยวพันกับจินตภาพในการตรวจ
วัด....เช่น พลังงาน...อันประกอบไปด้วย มวลพลังงาน แรง...ระยะทาง...เวลา...ณ.
กรอบอ้างอิงใดๆที่ตรวจวัดอย่างสัมพัทธ์....


........................................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(9)

ระบบสัญญาณแห่งหัวใจ


ผมซุนปิน.....แบตเตอรี่โทรศัพท์หมด...เลยต้องรอโทรศัพท์สาธารณะจากสาวน้อย...
หัวเราะคิกคักเป็นชั่วโมง....แต่ที่ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร...คือมันเป็นแบบนี้
ครับ..

ตอนสมัยผมเรียนหนังสือแถวๆริมแม่น้ำ....ก็เคยโทร..หาคนที่ชอบโทรคุยนาน....จน
เพื่อนมันหมั่นไส้....มันพูดว่าเอ็งจะจีบกับหมาหรือไง....คุยแต่เรื่องหมาได้
เป็นชั่วโมง...

โธ่....ก็แค่อยากฟังเสียงแค่นั้นแหละ....ส่วนคุยเรื่องอะไรมันก็เข้าหูซ้ายไป
ทะลุหูขวา....

จะไปโทษเพื่อนผมมันไม่ได้หรอก....เพราะมันมีระบบการส่งสัญญาณ 2 ระบบที่เกิด
ขึ้น....

โทรไปก็พูดไปเรื่อยเปื่อย...ต่างคนก็ไม่มีการพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับ...คำว่า
รัก..ออกมาเลย...

แต่สัญญาณระบบแสงสีเสียงหัวใจ....มันดังชัดเจน....
แฮ่ม...!!บอกไม่ได้นะครับมันเป็นความลับ...


นี่เป็นสาเหตุที่ผม...รอแม่สาวน้อยเขาใช้โทรศัพท์ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่รู้สึก
โกรธ...แถมยังยิ้มในใจอีกต่างหาก....

ระบบสัญญาณแห่งหัวใจ...เป็นระบบที่เราจะต้องนำมาวิเคราะสร้างแบบจำลองโครงสร้าง
ของอารมณ่งความรักบนโลกเสมือนครับ...

เพื่อเป็นแบบจำลองในการตระเตรียมความพร้อมของจิตใจคนเรา...

ที่จะไปก่อรูปการใหม่...ที่ดีงามบนโลกแห่งความเร็วสูงอีกระบบ....ครับ..

...........................


ฟิสิกส์ชั่วฟ้าดินสลาย....
และจินตภาพของคณิตศาสตร์แบบองค์รวม


จากตอนที่แล้วได้กล่าวถึงอย่างกว้างๆของโครงสร้างในแบบจำลองของอารมณ์ที่เกิด
ขึ้น...ซึ่งพอจะสรุปกว้างๆและย่อๆได้ว่า....

รูปการที่ก่อเกิดขึ้นของอารมณ์ความงามความรักโดยวิเคราะห์จากตัวอย่างของอารมณ์
ที่แสดงออกในการสัมผัสจากรูปการที่ปรากฎบนโลกเสมือน...ที่เรามองเห็นอารมณ์อัน
หลากหลาย...เช่นความโกรธ...ความเกลียด...ความระแวง...ความน้อยใจ...ความ
ว้าเหว่...ความอ้างว้าง....ฯลฯ...

แม้ว่ามีตัวอย่างของอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจะปิดบังซ่อนเร้นความจริง...แต่โดยส่วน
ใหญ่จะเป็นการสะท้อนในเชิงคุณภาพจากส่วนลึกที่ปิดบังไว้.....และเราสามารถแยกแยะ
ออกได้...และสังเกตุการเปลี่ยนแปลงการแปรเปลี่ยนไปของอารมณ์เหล่านี้....ซึ่งโดย
ทิศทางแล้วมีพัฒนาการที่สูงขึ้น

ทั้งนี้เนื่องจากอันตรกิริยาที่เกิดจากการแลกเปลี่ยน...ภายในโลกเสมือนแห่ง
นี้...
สรุปกว้างๆ...การก่อรูปอารมณ์...เกิดการก่อรูปใหม่โดยไม่มีขอบเขตุเวลามาปิด
กั้น...เช่นรูปการในอดีต...ความประทับใจหรือก่อเกิดอารมณ์แห่งความรักในการก่อ
รูปขึ้นเพียงแค่เห็นหน้าครั้งเดียวก็ก่อรูปความประทับใจได้ในระบบความคิด...

เพื่อที่จะให้กระชับขอกล่าวอย่างรวบรัด...ถึงความหมายของ รักชั่วฟ้าดินสลาย...
ที่จริงแล้วก็เคยได้กล่าวถึงมาแล้วแต่ยังไม่ได้พูดถึงในรายละเอียด.....

ความรัก....หากจำแนกอย่างกว้างๆ....จะแยกออกเป็น2ประเภทใหญ่ๆ...

ประเภทแรก....ความรักเพื่อตัวตน
ประเภทที่สอง....ความรักที่ออกไปจากตัวตน......ในประเภทนี้ผมขอเรียกว่าชั่วฟ้า
ดินสลาย...

การวิเคราะห์ในแบบจำลองความรักของหนุ่มสาว.....เราจะเห็นได้ว่าเกิดความรักทั้ง
สองแบบในระดับความเข้มข้นที่ต่างกันระหว่างชายและหญิง....

ลักษณะที่แสดงออกของความรักหนุ่มสาวที่หวานชื่นในระยะแรก....จะแสดงออกถึงความ
เข้มข้นในแบบที่ออกไปจากตัวตน....กล่าวคือต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ถือเอาตนเองเป็น
จุดมุ่งหมาย......

นั่นหมายความว่าฝ่ายชายก็ยึดเอาหัวใจของฝ่ายหญิง...หรือการส่งผ่านออกไปข้างนอก
และขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ยึดเอาในการส่งความรักออกไปยังหัวใจของฝ่ายชายและไม่
ได้ถือเอาตัวตนเป็นจุดหมาย....นั่นคือต่างฝ่ายถือเอาจิตใจของอีกฝ่ายเป็นจิตใจ
ของตนเอง...หรือการถือเอาชีวิตของแต่ละฝ่ายเป็นเสมือนชีวิตของตน......นั่นก็คือ
เป็นความรักในแบบที่ออกไปไกลจากตัวตน.....
การแสดงออกที่เป็นรูปธรรมก็คือพร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน...เติมเต็มหัวใจ
ให้กันและกัน....หลอมรวมหัวใจที่เป็นดวงเดียวกัน....


ความรักในรูปแบบนี้สอดคล้องกับอันตรกิริยาในทางฟิสิกส์....ที่ก่อให้เกิดพลังงาน
สูง...และก่อเกิดองค์รวมของระบบความเร็วที่สูงอันเนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของ
ศักย์แห่งพลังงานสถิต...ในการส่งผ่านออกไปสนามแรง...

ตัวอย่างเช่น...แม่เหล็กต่างขั้วที่ต่างเติมเต็มในเส้นแรงของสนามแรงแม่เหล็ก
ไฟฟ้า.....กระบวนการฟิวชั่น...หรือกระบวนการรวมตัวในนิวเคลียร์ฟิสิกส์เช่นการ
รวมตัวของไฮโดรเจนหนักกลายเป็นดิวทอเรียม..ที่ส่งพลังงานออกสู่ภายนอกสูงมาก...

กระบวนการแห่งความรักใดๆในโลก...ล้วนเป็นไปอย่างสัมพัทธ์...หากหนุ่มสาวที่มี
ความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายและยึดถือเป็นอุดมคติดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการส่งผ่าน
ความรักออกไปภายนอกที่มีพลังงานสูงไปยังลูกหลานญาติพี่น้อง...พ่อแม่..สังคม...
ประเทศ...มนุษยชาติ...และจักรวาลในที่สุด...

ลักษณะสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการ....เขาทั้งสองที่หลอมรวมเป็นหัวใจ
ดวงเดียวเมื่อส่งผ่านออกไปยังลูกหลานพ่อแม่ญาติพี่น้อง...โดยยึดเอาหัวใจของพวก
เขาเหล่านั้นเป็นเสมือนจิตใจของเรา....ก็จะเกิดการหลอมรวมความเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกันที่มีขอบเขตุกว้างขึ้นทั้งในทางปริมาณขณะเดียวกันอันตรกิริยาที่เกิด
ขึ้นในใจก็มีระดับสูงขึ้นอีก......เมื่อกลุ่มสังคมเหล่านี้ที่ส่งผ่านออกไปยัง
กลุ่มสังคมอื่นๆ....มวลมนุษยชาติ...ระดับของความรักเมื่อมองในขอบเขตุและคุณภาพ
และอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นของบุคคลได้รับการยกระดับสูงขึ้นไปยิ่งขึ้น....จนใน
ที่สุดหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจักรวาลที่เป็นพลังงานอันเป็นปัจจัยให้
ทุกสรรพสิ่ง.....

ความรักในประเภทเพื่อตัวตน....ในหนุ่มสาวในระยะเริ่มแรกโดยทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว
มักจะเป็นความรักแบบออกไปจากตัวตน...ดังกล่าวมาแล้วแต่เมื่อกิเลสแห่งตัวตนที่
พอกพูนขึ้นสูง...กล่าวอย่างกว้างๆ เช่นอาจเกิดขึ้นของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้ง
สองฝ่าย

เป็นผลให้เกิดต่างฝ่ายต่างสร้างกำแพงของตนเองขึ้นทีละน้อย.....และในที่สุดก็ปิด
กั้นและแยกออกไปเป็นตัวตนแต่ละฝ่ายที่เป็นเอกเทศ....และไปก่อเกิดอันตรกิริยา
ใหม่ที่อยู่นอกเหนือกระบวนการเดียวกันดังเช่นการเริ่มต้นกระบวนการ....

ในทางฟิสิกส์...เช่นกระบวนการนิวเคลียร์ฟิชชั่น....เป็นต้น...

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(8)

วันนี้ผม...หลี่หงหลง...กลับมาบันทึกไดอารี่ที่บ้านตัวเองอีกครั้ง.......คือผม
ไปว่ายน้ำมาครับเลยให้reddragonกับซุนปินช่วยบันทึกต่อเรื่องสุนทรียภาพความงาม
ความรักบนสนามแรงเสมือน....แทนให้...

ไม่รู้สองคนเขานินทาอะไรผม...คือออกไปซื้อแว่นกันน้ำเพราะมันรั่วเวลาว่ายน้ำและ
ดำน้ำ...น้ำมันเข้าตาเลยแดงนิดหน่อย.....ว่ายน้ำ..ดำน้ำก็มีความสุขสดชื่นดี
ครับ.....

บางคนถ้าเกิดอาการ chill chill จากการว่ายน้ำนานไป...ขาดอุ่นไอรัก...เอ้อพูดผิด
ไปหน่อยครับมันติดปาก....chill.... ที่ผมกล่าวถึงไม่ได้มีความหมายอันเป็นแสลง
ของเด็กแนวๆเขาใช้กันนะครับที่หมายถึงการผ่อนคลายรีแลกซ์อะไรทำนองนี้.....แต่
หมายถึงคำแปลที่ว่าเย็นยะเยือกตามศัพท์.....

แต่ถ้าใครเกิดอาการดังกล่าวนี้...คือขาดไออุ่นก็เปิดคอมพ์ครับ....และเอามืออัง
ที่หน้าจอ....ไม่ต้องเสียบปลั้กนะครับ..ถ้ามองเห็นหัวใจคอมพ์มันเต้นตุบตับ...ละ
ก็นั่นแหละร่างกายจะอุ่นขึ้น....เพราะคนในบล็อกเขาส่งมา....

เอ้า...สองคนเขาบันทึกอะไรทิ้งไว้อีกล่ะ....เดี๋ยวค่อยอ่านให้ฟังครับ...

คือ ผมหลี่หงหลง.....บันทึกค้างไว้ก่อนสองคนมาเขียนต่อ...เรื่องอาการของโรคแพ้
ใจซินโดรมที่แพร่ระบาดในโลกเสมือนนั่นแหละ......มันเป็นแบบวิเคราะห์เพื่อการ
ประยุกต์ของสถาบันวิจัยประยุกต์การย้ายมวลพลังงานความรัก...ที่ซุนปิน
และreddragon เขากำลังหาข้อมูลรวบรวมอยู่....

ที่ผมกล่าวถึง....ก็เพราะว่าถ้าคุณย้อนกลับไปในตอนที่ผมเขียน...และลองฟังเสียง
ของหัวใจใหม่....ถึงเวลานี้คุณคงทราบแล้วว่า...อาการแพ้ใจมันยกระดับขึ้นไปสู่
ระดับของระบบที่มีความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิม....นั่นหมายความว่าเริ่มลดการคิด
คำนึงแค่ตัวตน...หันไปทำความเข้าใจคนอื่นที่ไม่ใช่เรา....คุณลองทดสอบหลายๆ
ครั้ง....เข้าไปแชทๆๆๆๆๆ...ให้เยอะส่งผ่านความรักออกไปให้เขาหัวเราะเขามีความ
สุขหยอกล้อกันมั่ง...

คุณรู้ไหมครับ...ปฏิกิริยาย้อนกลับที่เกิดขึ้นคุณเองนั่นแหละครับ....นั่งยิ้ม
อยู่ได้คนเดียว.....

แน่ะ...ผมมองเห็นนะครับ....คอมพิวเตอร์ของคุณหน้าแดงเลยล่ะ...!!!
เอ๊ะ...!!! มีด้วยเหรอคอมพ์หลั่งสารเอ็นโดรฟิน....???


ขอวกเข้าเรื่อง...ตามหัวข้อข้างบน....ถ้าการบันทึกเรื่องราวอาจจะ Chill Chill ก็คงเป็นเพราะแช่น้ำมานาน.....ไม่เหมือนreddragonหรอกครับ...ฉีดยาชาหัวใจเข้าไป
ได้ยังไง....สงสัยแอบฟังเสียงหัวใจหมอฟันที่ถอนฟันแน่เลยเพราะปากมันพูดไม่ได้
เวลาถอนฟัน.....จำเป็นต้องฟังเสียงหัวใจหมอ.....

ดังได้กล่าวมาข้างต้น...
สรรพศาสตร์ทุกแขนง....สุนทรียศาสตร์...สังคมศาสตร์ทุกสาขา....การเมืองการท
หาร...ปรัชญา....จริยธรรม ความเชื่อ บรรทัดฐานทุกชนิด หลักของนวัตกรรมทุกสาขา ฯลฯ

สรุปง่ายๆ....ทุกสาขาวิชาการ...มีหลักการอยู่เพียงแค่...

รัก...
และเส้นทางแห่งรัก...

แค่นี้จริงๆครับ....!!!....รัก...ก็คือหลักการทั่วไป.....เส้นทางแห่งรัก..ก็คือ
มรรควิธีในการสร้างดุลยภาพแห่งรัก...
จากกรอบอ้างอิงความรักแห่งตัวตน.....ไปสู่การยกระดับสูงขึ้นของตัวตน...และไปสู่
ภายนอก..

หัวใจของวิชาการทั้งหมดมีอยู่แค่นี้จริงๆครับ...!!!

แต่แปลก...จริงๆ...สถานศึกษาไม่มีตำราเรียนมิตรภาพความรักในชั้นเรียน....

ไม่เรียน...แสงสีเสียงความร้อนของหัวใจ...ที่เป็นหัวใจแห่งสรรพตำรา....

( หมายเหตุ: แล้วนี่จะสรุปสุนทรียภาพแห่งความรักบนโลกเสมือนจบไหมนี่...กับการ
สรุปในสิ่งที่ไม่มีบทสรุป...เพราะความรักมันยาวไม่รู้จบ....)


...................................


โครงสร้างการสร้างแบบจำลองของอารมณ์...


วันนี้ผมซุนปิน...มาบันทึกจากแบบการวิเคราะห์อารมณ์บางส่วนในโลกเสมือนไซเบอร์
สเปซ....โดยผมเลือกเอาอารมณ์แห่งความรักเป็นหลัก...ทำยังไงได้ล่ะครับเพื่อความ
รักก็ต้องยอมทน...

บางท่านก็อาจจะหมั่นไส้...กับทฤษฎีหัวแม่ตีน(ขอยืมศัพท์ท่านอาจารย์ชัยอนันต์
หน่อยครับ)...อธิบายได้ยังไง...ความรักเป็นหัวใจหลักของสรรพศาสตร์...

ทฤษฎีหัวแม่เท้าหรือ TOE มันย่อมาจาก Theory Of Everything ......แต่ผมขอเรียก
เป็นหัวแม่เท้าของหัวใจ...นะครับ...หรือเวลาเราดูสาวๆเขาแสดงระบำปลายเท้า...
นั่นแหละเรียกง่ายๆก็เป็นฟิสิกส์ที่มีลีลาแบบระบำปลายเท้าเปิดเพลงคลาสสิกฟัง
ออร์เชสตร้าไปด้วยนะครับ.. .แต่ถ้าเพื่อความมันก็เพลงร็อกไปเลยก็ได้..

ก่อนอื่นต้องขอให้ทบทวนดูที่ reddragon นำเสนอในหัวบล็อกที่ชื่อว่า...กระบวน
ทัศน์องค์รวมในกรอบ9มิติก่อนนะครับ..ที่ประกอบไปด้วย....มิติที่5 เงา...มิติ
ที่6..วงแหวน.....มิติที่7 การทับซ้อน(พหุภาพทางกายภาพหรือspace)….reddragon อธิบายถึงแค่นั้น...ในบล็อกนี้...สายน้ำแห่งความรัก...จะเน้นด้านปรัชญาและ
สุนทรียภาพต่างๆ...เมื่อกล่าวถึงสุนทรียภาพก็เลยถือโอกาสเกริ่นทำความเข้าใจ
เบื้องต้นใน....มิติที่8 มิติแห่งการทับซ้อนของเวลา...ซึ่งในขอบเขตุสุนทรียภาพ
นั่นก็คือโลกทางจิตใจของคนเรา....และ มิติที่ 9 มิติแห่งองค์รวมพหุภาพ(หมายถึง
องค์รวมทั้งหมดของ8มิติ).....และในขอบเขตุสุนทรียภาพความรักที่ผมจะกล่าวก็จะ
เป็นองค์รวมทางกายภาพและทางจิตใจของคนเรา....

การทำความเข้าใจโครงสร้างแบบจำลองอารมณ์บนโลกเสมือนเป็นสิ่งสำคัญต่อคนเรา...ใน
การที่จะทำความเข้าใจถึงการกำเนิด...และการก่อรูปการใหม่ของระบบที่มีความเร็ว
สัมพัทธ์ที่สูงกว่าความเร็วแสง....

แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ปัจจุบัน...ในทางฟิสิกส์ เช่นทฤษฎีสัมพัทธภาพ....ทฤษฎี
ควอนตัม...หรือแบบวิเคราะห์เอส-มาร์ทริก ของวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก...ก็ได้เพียง
ความไม่แน่นอน

ข้อจำกัดในการอธิบายอันเนื่องมาจาก...

ประการแรกสมมติฐานที่ว่า ความเร็วแสงคือค่าสูงสุดและเป็นค่าสัมบูรณ์
ประการที่สอง มีข้อสมมติฐานและสร้างแบบจำลองจักรวาลเป็นกรอบเฉื่อยของระบบความ
เร็วแสงภายใต้สมการทางคณิตศาสตร์ที่จำกัดค่าคงที่ที่ความเร็วแสงเป็นความเร็วสูง
สุด..

เมื่อความเร็วของแสง....เกิดจากพลังงานการระเบิดของดวงอาทิตย์...พลังงานที่ใช้
เร่งคลื่นอนุภาพส่งออกมาจากดวงอาทิตย์...ภายใต้กรอบความเร็วของระบบสุริยะแต่
ทำไมจะต้องถือเป็นความเร็วสูงสุด....ของจักรวาล....มันก็แค่ระบบสุริยะเท่า
นั้น....

แรงระเบิดของดวงอาทิตย์...แค่เศษเสี้ยวในจักรวาล...กำลังส่องสว่างของเทียนแท่ง
เล็กๆเราจะถือเป็นกรอบเฉื่อยได้หรือครับ...เมื่อเทียบกับระบบไฟสปอทไลท์ดวงใหญ่

ระบบสุริยะเป็นแค่ส่วนเล็กๆอันน้อยนิดของกาแลกซี่....
แสงอันเกิดจากพลังงานดวงอาทิตย์...ก็จำกัดในการก่อรูปการแค่ระบบความเร็วแสง...

พลังงานมหาศาลที่เหนือกว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ดำรงอยู่ครับในจักรวาล....จำนวน
มากมายหลายระดับความเร็ว

พลังงานมหาศาลหลายระบบที่เป็นระบบทับซ้อนของกาลาวกาศ...ดำรงอยู่...ทะลุผ่านระบบ
ความเร็วต่ำที่มีความเร็วแสงราวกับระบบความเร็วแสงไม่ได้อยู่ในสายตา...เอาแค่
ความเร็วแค่นิวตริโนยังวิ่งทะลุผ่านสิ่งๆที่เป็นวัตถุบนโลกเป็นว่าเล่น..

เราลองจินตภาพง่ายๆ....ของการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
เอาแบบให้เข้าใจง่ายๆเช่น...รถยนตร์สองคัน...วิ่ง50กม/ชั่วโมง และ อีกคัน 100
กม/ชม.ออกจากจุดสตาร์ทพร้อมกัน...

รถคันหลังวิ่งยังไงก็ไม่ทันคันแรก.....แสงก็เช่นกันถ้าแสงเป็นรถคันที่วิ่ง50กม/
ชม. แล้วจะไปรับรู้อะไรได้ครับกับ รถที่วิ่ง100 กม./ชม.

ในการอธิบายแบบสัมพัทธภาพเราก็จะได้คำตอบว่า....ความเร็วสูงกว่าความเร็วแสง...
มีขอบเขตุหรือ space ที่กว้างเมื่อเปรียบเทียบระบบแสงดวงอาทิตย์...คือขอบเขตของ
ค่าเวลา หรือt จะยาวกว่าครอบคลุมไปทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต....เมื่อเปรียบ
เทียบอย่างสัมพัทธ์กับระบบความเร็วแสงดวงอาทิตย์........
ทำไมเรามองไม่เห็น...ก็เพราะมันเร็วกว่าแสง...ทำไมก่อรูปวัตถุไม่ได้เพราะมัน
อยู่ในระบบที่ความเร็วสูงกว่าแสง.....

การทับซ้อนของกาลาวกาศ.....ของระบบความเร็วหลายระบบดำรงอยู่ในจักรวาลและอยู่รอบ
ตัวเราโดยเรามองไม่เห็นและตรวจวัดด้วยระบบความเร็วแสงไม่ได้...

และเราไปให้คำอธิบายว่า...ไม่มี...
มีแต่วิทยาศาสตร์แบบกะลาครอบด้วยความเร็วแสงจึงจะถูกต้อง....และเป็นวิทยา
ศาสตร์...

สำหรับบนโลก....จิตที่หยุดนิ่ง....สัมผัสได้ครับเพราะเป็นความเร็วสัมพัทธ์ของ
ระบบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสงกับการสัมผัสด้วยใจที่หยุดนิ่ง....

เห็นไหมครับ...สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล...คือมนุษย์ครับ...สัมผัสและรับ
รู้ได้หลายระบบถ้าต้องการ.....และเลือกที่จะมีความสุขแบบไหนในการก่อรูปใหม่ของ
ระบบความเร็วที่แตกต่าง....

จากตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการอธิบายถึงระบบความเร็วที่แตกต่างกันซ้อนทับอยู่ในกา
ลาวกาศ....หากเรามองกาลาวกาศแบบจำลอง4 มิติในแบบที่เราเคยชิน...เราก็จะสร้างแบบ
จำลองทางคณิตศาสตร์ใหม่ได้เช่นกัน....หากต้องปรับย้ายกระบวนทัศน์ใหม่เป็นแบบ
องค์รวมจักรวาลทัศน์....กล่าวคือ..

จะมีหลักการวิเคราะห์ดังนี้.....

- ในระบบแห่งความเร็วที่สูงกว่าความเร็วแสงอย่างสัมพัทธ์.....จะมีขนาดของ
สเปก....และเวลาที่ยาวกว่าระบบความเร็วที่ช้ากว่าหรือความเร็วสูงสุดเท่าความ
เร็วแสง.....นั่นหมายความว่าระบบความเร็วที่สูงกว่าจะมีความยาวของกาลาวกาศทั้ง
หน่วยเวลาและขนาดในการดำรงอยู่ทางวัตถุในที่ว่างหรือสเปก...ครอบคลุมอดีต...
ปัจจุบัน...และอนาคต..ของระบบความเร็วต่ำกว่า....

- การก่อรูปการทางวัตถุ...ขึ้นกับความเร็วในแต่ละระบบ(มวลสถิตย์และพลังงาน
จลน์)..ที่มีอันตรกิริยาต่อสนามแรงในที่ว่างแห่งเหตุการณ์นั้นๆและเป็นผลให้ความ
เร็วช้าลง....เช่นระบบที่มีความเร็ว2เท่าความเร็วแสงก็จะเกิดรูปการของวัตถุใน
ระบบความเร็วสูงสุด2เท่าความเร็วแสงหรือถือเป็นกรอบอ้างอิงนั้นๆ...

- รูปการทางวัตถุใดๆของระบบความเร็วต่ำหรือสูงสุดเท่าความเร็วแสงจะตรวจวัดทราบ
ปริมาณค่าในทางวัตถุได้ตามค่าความเร็วของระบบใหญ่ที่เร็วสูงสุดเท่าความเร็ว
แสง....ทั้งนี้เนื่องจากอันตรกิริยาที่ก่อให้เกิดรูปการทางวัตถุกับมวลพลังงานใน
สนามแรงภายนอก...ก่อให้เกิดรูปการใหม่ทางวัตถุที่อยู่ภายใต้พลังงานที่มีอันตร
กิริยา...

เช่น....ระบบความเร็วที่สูงกว่าความเร็วแสงไม่มีความต้านทานใดๆในสนามแรงของความ
เร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง...จากสนามแรงนิวเคลียร์พลังสูง...แรงนิวเคลียร์พลัง
ต่ำ...แรงโน้มถ่วง...แรงแม่เหล็กไฟฟ้า....เนื่องจากสนามแรงดังกล่าวเป็นการก่อ
ตัวขึ้นและประกอบกันขึ้นภายใต้มวลพลังงานที่เกิดอันตรกิริยากับภายนอกระบบก่อ
เกิดรูปการทางวัตถุที่ความเร็วสูงสุดเท่ากับความเร็วแสง....


ตัวอย่างง่ายๆ...เช่นเราในสมการ ไอน์สไตน์...ถ้าเราให้ค่า C ยกกำลัง 4 ....หรือ
ความเร็ว1เท่าความเร็วแสง....เราก็จะได้ ค่าของ M เป็น1เท่า ของระบบความเร็ว
แสง...หรือต้องใช้พลังงานจลน์เป็น1เท่า...ค่าของE ที่ได้ก็สูงกว่า...
เราก็อธิบายได้ว่า.....สเปกที่เกิดขึ้นและเวลา..เมื่อมองอย่างสัมพัทธ์...มัน
ครอบคลุมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของระบบสมการ E = MC กำลังสอง...



หัวใจ...ที่มีความหมายทางกายภาพของมนุษย์และทางจิตใจ....ในที่นี้หมายถึงจิต
ใจ...จิตวิญญาณ..ที่ควบคุมและสั่งงานให้องค์รวมทางกายภาพของมนุษย์ทำงาน....
โครงสร้างแห่งหัวใจของมนุษย์...มันสุดลึกล้ำ...และเป็นการทับซ้อนขององค์รวมกา
ลาวกาศหลายๆองค์รวม...จำนวนนับอนันต์....เป็นองค์รวมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กับจักรวาล....

การวิเคราะห์ในเชิงประจักษ์นิยมในแบบที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์ตามกระบวนการ
เรียนรู้ของสังคมมนุษย์ปัจจุบัน....การวิเคราะห์องค์รวมแห่งการก่อกำเนิดอารมณ์
ความรัก....และชั่วฟ้าดินสลายแห่งความรัก...มันต้องเป็นบูรณาการของศาสตร์ทุก
แขนงบนโลกใบนี้ที่จะมาทำความเข้าใจ.....และเข้าใจได้ก็แค่การประมาณการอย่าง
หยาบๆ....เพราะถ้าจะทำความเข้าใจหัวใจดวงน้อยๆ....ของมนุษย์..ก็คือก็ต้องเข้าใจ
จักรวาล...แห่งนี้ที่เราอาศัยอยู่...

คงกล่าวอย่างกว้างๆถึงโครงสร้างอารมณ์แห่งความรัก....ในการสร้างแบบจำลองโดยการ
วิเคราะห์อย่างหยาบๆที่เกิดขึ้นบนโลกเสมือน....

การก่อรูป...มีขอบเขตุที่กว้างขึ้นของตำแหน่งแห่งที่ที่ดำรงอยู่.....ไม่มีข้อ
จำกัดแห่งเวลา...ที่สามารถก่อรูปการใหม่ขึ้นมาจากรูปการแห่งอดีต...ปัจจุบัน...
และอนาคต(ที่ถือเป็นอุดมคติแห่งโลกปัจจุบัน)

รูปการแห่งอารมณ์ความรักที่เกิดขึ้น...ในความรักของชายและหญิง....บนโลกเสมือน
เป็นแบบจำลองหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นว่า....

การก่อรูปการทางอารมณ์ของคนเราก่อตัวขึ้นมาใหม่ในแบบที่เราต้องการที่จะให้
เป็น.....หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ...คนที่มีอุดมคติที่ดีงามก็จะก่อรูปการที่
ดีงามขึ้นบนสนามแรงใหม่....คนที่มีความคิดที่มีระดับคุณภาพของความรักที่มีความ
เข้มข้นในการยึดกับตัวตนสูงก็จะเกิดอันตรกิริยาในกระบวนการแห่งความเข้มข้นเดียว
กัน....บนสนามแรงแห่งใหม่ของโลกเสมือน....

โลกที่เกิดขึ้นใหม่ในใจเรา.....อันเกิดจากการส่งผ่านออกไปในสนามแรงแห่งพลังงาน
เหล่านั้น...และกลับมาก่อรูปในใจเราตามคุณภาพแห่งจิตใจเรามีอยู่.....โลกหลายใบ
ที่ทับซ้อนกันบนหัวใจดวงน้อยๆ....ที่ลึกลับและปรวนแปรตามอารมณ์ที่มีอันตรกิริยา
ต่อภายนอก.....

............................

ฟิสิกส์ระบำปลายเท้า(7)

ความรักสูงสุด....ก็คือนิพพาน


ผม..reddragon...เปิดอ่านบันทึกในอีกหน้า...ของซุนปิน..บันทึกว่า....

หลายคนอาจจะสงสัยว่าเป็นไปได้ยังไงความรักสูงสุดก็คือนิพพานครับ......แต่เป็น
ความจริงครับ...เมื่ออธิบายในเชิงประจักษ์นิยมในแบบที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์หรือ
หลักการทางฟิสิกส์ชีวภาพ....ภายใต้อันตรกิริยาของมวลพลังงานกับองค์รวมทางกายภาพ
และชีวภาพของมนุษย์....

นิพพานหมายถึง...การดับสูญของจิตและไม่มีการเกิดขึ้นใดๆเพื่อก่อรูปการทางวัตถุ
หรือกิเลสขององค์รวมทางชีวภาพมนุษย์คนนั้นๆ....
กระบวนการแห่งอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เป็นการสร้างตนเองขึ้นมาใหม่ของ
องค์รวมนั้น....แต่การเกิดขึ้นมาใหม่ในรูปการทางวัตถุอื่นๆเนื่องจากเกิดจากการ
ที่องค์รวมอื่นองค์รวมใดได้ดึงเอามวลพลังงานที่กระจายอยู่เข้ามาก่อรูปการใหม่
ภายใต้กระบวนการแห่งอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นมาใหม่....

อันตรกิริยาในทางฟิสิกส์...ขององค์รวมแห่งความรักของมนุษย์เกิดจาก...
กระบวนแห่งการดึงดูดมวลพลังงานและกระบวนการส่งผ่านมวลพลังงานออกไป...ภายใต้กรอบ
อ้างอิงของระบบกาลาวกาศที่อ้างอิงอันแตกต่างกันไปตามพัฒนาการของกระบวนการทาง
จิต....

ระบบทางจิตใจของมนุษย์ มีหลายระบบอ้างอิง...
นับตั้งแต่ปฏิสนธิ....วัยเด็ก...วัยรุ่น....ผู้ใหญ่...และวัยชรา...
กระบวนการดึงดูดมวลพลังงานเข้ามา.....และกระบวนการส่งผ่านมวลพลังงานออกไป....

แต่กระบวนการด้านจิตใจของมนุษย์ที่มีพัฒนาการที่สูงขึ้น....เกิดจากกระบวนแห่ง
การส่งผ่านพลังงานออกไป....ครับ...มีแต่การส่งมวลพลังงานความรักออกไป....จิตใจ
จึงจะยกระดับการพัฒนาสูงขึ้น...และไม่ก่อรูปอันตรกิริยาของระบบความเร็วต่ำลงของ
รูปการวัตถุ....และระบบที่ช้าลงเรื่อยๆ...จนถึงการเกาะกุมอย่างหนาแน่นของมวล
กิเลส....จนถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกวัตถุกับโลกทางจิตที่เกิดการกระทำในทาง
วัตถุ.....

กระบวนการส่งพลังงานแห่งความรักออกไปกระทำต่อมวลพลังงานมหาศาลที่ดำรงอยู่ภายนอก
ในจักรวาล....มีผลให้เกิดพลังงานที่สูงในกระบวนการที่เกิดอันตรกิริยาบนสนาม
แรง....ทั้งนี้เนื่องจากพลังงานภายนอกที่ไร้แรงต้านทานใดๆอันตรกิริยาที่เกิด
ขึ้นใหม่ในใจจึงเป็นการวิ่งกลับไปมาในขอบเขตุที่กว้างขวางออกไปจากตัวตน....
เพื่อตัวตน....


สุนทรียภาพทางด้านอารมณ์....ถ้าเราค้นคว้าเพื่อหาค่าตรวจวัดประมาณการในรูปการ
ทางวัตถุ...การประยุกต์เพื่อนำมาใช้ในการดัดแปลงธรรมชาติของมนุษย์.....เราก็อาจ
เกิดการค้นคว้าการโคลนนิ่ง...การย้ายมวลสารหรือองค์รวมของกระบวนการที่ก่อเกิด
อารมณ์ที่มีอันตรกิริยากับภายนอก....เพื่อตรวจวัดค่าอันตรกิริยากับมวลพลังงาน
แห่งความรัก....ที่ดำรงอยู่ในสนามแรงในรูปการตรวจวัดค่าประมาณการในทาง
วัตถุ.....

การนำเอาความรู้ในเรื่องสุนทรียภาพของความรักไปประยุกต์ค้นคว้า....สามารถที่จะ
สร้างสรรค์และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการยกระดับจิตใจของมนุษย์มากมายเหลือคณา
นับ...
เช่นระบบกลไกของมนุษย์ที่มีต่อยาหลอก....หรือสิ่งที่หลอกตนเองว่ากินยาแต่หาย
ได้...ซึ่งความจริงแล้วกระบวนการรักษาตนเองของมนุษย์เป็นตัวสำคัญในการหาย....
กระบวนการบังคับของอารมณ์..ฯลฯ....

พลังงานความรัก...ยิ่งใหญ่ที่สุด...และเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง....
มีพลังงานสูงที่จะหยุดระเบิดนิวเคลียร์
สามารถที่จะทำให้โลกมีสีเขียว....จากที่แห้งแล้งได้...
สามารถที่จะทำให้มวลชีวิตทุกชีวิต....มีความสุข...
หยุดยั้ง...การทำลายล้างที่มนุษย์...มีต่อสรรพสิ่ง....

เพราะความรักที่มนุษย์มีต่อมนุษย์และต่อสรรพสิ่ง....ก็คือจริยธรรมสูงสุด....

..............................


ความรัก....เป็นหัวใจแห่งนวัตกรรมและสรรพศาสตร์


การประยุกต์....หลักการแห่งความรักอันเป็นหลักการพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบ
นี้...ในสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น...ความรักคือพื้นฐานของกระบวนการใดๆ
ในการก่อรูปการทางความคิด...

บางคนอาจจะบ่นว่า....หลี่หงหลง...เขียนอะไรอยู่ได้...มีแต่เรื่องรักๆๆๆ...หา
สาระอะไรไม่ได้...

นั่นก็เป็นอีกความคิดหนึ่ง....แต่เมื่อเราจะวิเคราะห์กฎเกณท์ใดๆมันก็หลีกเลี่ยง
ไม่ได้ครับ...เพราะมนุษย์เป็นผู้วิเคราะห์และก็มีเพียงการวิเคราะห์ความรักตัวตน
ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก....

ในการตรวจวัด...ทิศทางทฤษฎีใดๆว่าถูกต้องหรือไม่...วัดง่ายๆคือมีดุลยภาพของความ
รักหรือไม่....แค่นี้เองครับ...ในสังคมมนุษย์ก็คือไม่ได้เอียงไปในการรักเพื่อ
ตัวตนมากไปหรือการให้ออกไปโดยไม่สามารถคงรูปอย่างสัมพัทธ์ของตัวตนได้....

หลักการทั่วไปของทฤษฎีใดๆจากตอนที่แล้วคงสรุปได้กว้างๆว่า...
วิเคราะห์องค์รวมแห่งความรัก....บนเส้นทางสายกลางแห่งความรัก....ที่มีขอบเขตุ
พัฒนาการจากตัวตนไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก.....
ความรัก....เป็นองค์รวมแห่งการก่อเกิดความสุข..ความอบอุ่น...ความเอื้ออาทร..
สันติภาพ...

การประยุกต์เพื่อสร้างนวัตกรรมทางทฤษฎีในทางสังคมศาสตร์ให้มีทิศทางที่ถูกต้อง
และรับใช้กับมนุษย์...ในการวิเคราะห์แบบแยกส่วน ตัวอย่างเช่น...

เศรษฐศาสตร์ : หลักการสร้างดุลยภาพของความรัก ในการจัดสรรทรัพยากร...
การเมือง- สังคม : หลักแห่งดุลยภาพของความรักระหว่างบุคคลและสังคมอันเกี่ยวพัน
กับ การใช้อำนาจ และกฎเกณท์การอยู่ร่วมกันในสังคม

สิ่งแวดล้อม,จิตวิทยา,การบริหารการจัดการ,การตลาด,การโฆษณาประชาสัมพันธ์,การท
หาร...ฯลฯ

การประยุกต์เพื่อสร้างนวัตกรรมและตรวจสอบทิศทาง...ว่ารับใช้มนุษย์หรือไม่..ใน
ทางด้านวิทยาศาสตร์...เช่น..

สถาปัตยกรรม : หลักการจัดดุลยภาพในความสัมพันธ์สุนทรียภาพความรัก กับการสร้าง
แบบจำลอง..
วิศวกรรม....ก็เป็นหลักการที่เป็นการจัดการด้านโครงสร้างในโครงงานหรือแบบจำลอง
ใดๆภายใต้จินตนาการอันก่อเกิดจากความรักแห่งตัวตนของคนเราในการดำรงชีพให้เกิด
ดุลยภาพกับภายนอก

ฟิสิกส์....ก็เป็นการค้นคว้าหาหลักการทั่วไปในการทำความเข้าใจกฎเกณท์ต่างๆทาง
ธรรมชาติภายใต้กรอบคิดของมนุษย์...ที่มีอันตรกิริยากับสนามแรงในจักรวาล...และ
ที่สำคัญสนามแรงเสมือนหรือสนามแห่งความรักอันอยู่บนโลกแห่งจิตใจของมนุษย์.....
( คงจะได้กล่าวในตอนต่อๆไป....เกี่ยวกับสนามแรงและฟิสิกส์แห่งกรรม...กลศาสตร์
การเคลื่อนที่ของผี...ฟิสิกส์ชั่วฟ้าดินสลาย......)

จะเห็นได้ว่า...ทุกสาขาวิชาล้วนแยกไม่ออกจากมนุษย์....และมนุษย์ก็มีความรักเป็น
พลังแห่งการขับเคลื่อน....การสร้างทฤษฎีใดๆที่มีทิศทางที่ถูกต้องในการนำมารับ
ใช้มนุษย์.....ก็ย่อมแยกไม่ออกจากความรักและการจัดดุลยภาพของความรักหรือเส้นทาง
แห่งรัก....ระหว่างตัวตนเพื่อครอบครอง...กับการให้ออกไป....

ในสนามแรงต่างๆ...ที่มนุษย์ค้นพบมีเพียงแค่ 4 สนามแรง....แต่หาคำตอบไม่ได้ว่า
ระบบจิต...ดำรงอยู่ที่ตรงไหน.....เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยบันทึกต่อ....เพราะเดี๋ยว
จะสรุปไม่ได้ว่าสุนทรียภาพคืออะไร..

คำตอบง่ายๆ....ครับ..คือ..รัก.....

ผมขอสรุปกว้างๆ....จากข้อมูลที่...ซุนปิน...และreddragon …..วิเคราะห์ตัวอย่าง
อารมณ์...ต้องเข้าใจนะครับว่าอารมณ์...เพราะอารมณ์เป็นตัวก่อเกิดสุนทรียภาพ...
ในการวิเคราะห์บนโลกเสมือนในเรื่องอารมณ์แห่งความรัก...ของชายและหญิง.....

อ้อ..ลืมเปิดบันทึกเทปที่สองคนเขาพูดกันผมแอบอัดไว้จะดูว่าเขานินทาผมยังไง....
เทปบันทึกบางตอนดังนี้ครับ...

Reddragon: เอ้า...กลับมาแล้วเหรอ..ซุนปิน....เฮ้ย!! มาดูอะไรหน่อย...
ซุนปิน : ท่านreddragon เอาผ้าคลุมคอมพิวเตอร์หน่อยครับ...

Reddragon ทำไมล่ะ...
ซุนปิน : ผมเขินครับ...!!!

Reddragon : จะบ้าหรือไงซุนปิน....มิน่าถึงเดินเข้าใกล้คอมพ์หน้าแดงวูบเลย
เชียว..เพราะยังงี้นี่เอง...ถึงไม่กล้าไป..แชทแซวเขาตามบ้านต่างๆ...
ซุนปิน : สงสัยผมต้องแปลงร่างใหม่แล้วล่ะ...ท่าน Reddragon

Reddragon : ซุนปินดูนี่สิ...คอมพ์มันไฟฟ้าช็อตหรือเปล่าแดงวูบวาบเลย...
ซุนปิน : ท่าน Reddragon ท่านยังไม่เสียบปลั้กเลยครับ...!!!


ผมหลี่หงหลงก็ได้แต่มึนงงกับสองคน....โรคแพ้ใจซินโดรม...มีอาการข้างเคียงคือ
เขินได้ด้วยแฮะ!!!.....เขินได้ยังไงกับคอมพิวเตอร์....

..........................................