วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2550

กระบวนทัศน์องค์รวมพหุภาพ(3)

สนามแรงเสมือน

เงาแห่งการหมุนหรือผลอันเกิดจากวัตถุที่มีการหมุน หรือการปรับดุลยภาพกับสิ่งอื่นภายนอกที่มีอันตรกิริยากัน ก่อให้เกิดแรงที่ส่งออกไป กับแรงที่ดึงดูดเข้ามา และเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่แน่นอนก็จะทิ้งร่องรอยของพลังงานเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง พร้อมๆกับคลื่นของมวลพลังงานที่ส่งออกไปข้างหน้าอันก่อให้เกิดสนามแรงเสมือนแห่งอนาคตที่เป็นร่องรอย หรือกรอบของสนามแรงเสมือนที่จะรองรับต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะเข้าไปแทนที่ในที่ว่างเสมือนซึ่งเป็นเสมือนกับที่ว่าง(space)แต่ที่จริงแล้วเป็นกรอบของสนามแรงเสมือนที่ก่อเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับเวลาจริงของวัตถุเพื่อที่จะรองรับการเข้าแทนที่ของวัตถุในตำแหน่งแห่งที่นั้นในอนาคต สนามแรงที่เกิดขึ้นของอดีต และอนาคต ก็คือสนามแรงเสมือน
สนามแรงต้านแรงโน้มถ่วง,สนามแรงต้านแรงแม่เหล็กไฟฟ้า , สนามแรงต้านแรงนิวเคลียร์พลังสูง และสนามแรงต้านแรงนิวเคลียร์พลังต่ำ ทั้งหมดก็คือ สนามแรงของแรงต้านสนามแรง สนามแรงเหล่านี้มีจริงหรือไม่ จากข้อสันนิษฐานว่ามีจริงเนื่องจาก วัตถุทุกชนิดล้วนแตกต่างกันและประกอบขึ้นในส่วนผสมที่แตกต่างกันของสนามแรง ถ้าหากไม่มีแรงต้าน วัตถุก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกัน บริเวณนอกโลกที่แรงดึงดูดของโลกน้อยมาก วัตถุ ล่องลอยได้โดยอิสระ ถ้าไม่มีแรงต้านแรงโน้มถ่วงของโลกแรงโน้มถ่วงจากโลกก็ต้องสามารถดึงดูดดาวต่างๆในจักรวาลได้ด้วยแรงที่สูงมาก ดังนั้นแรงต้านแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นก็คือแรงโน้มถ่วงของ ดวงดาวอื่นๆที่อยู่นอกเหนือดวงดาวที่เราวัดค่าแรงโน้มถ่วง เช่นการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ที่ได้รับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์เมื่อเรามองในขอบเขตุแรงโน้มถ่วงของโลกก็จะเห็นว่าแรงที่เกิดจากดวงจันทร์เป็นแรงที่ต้านแรงโน้มถ่วงโลก
สนามแรงต้านแรงแม่เหล็กไฟฟ้าก็คือสนามแรงที่ไม่มีแรงแม่เหล็กไฟฟ้าใดๆเกิดขึ้น ยังมีสนามแรงเช่นนี้หรือไม่ในเมื่อ มวลอนุภาคล้วนประกอบไปด้วย ประจุอนุภาค คำตอบก็คือมี เราดูตัวเลขง่ายๆในทางคณิตศาสตร์ที่แทนค่าสนามแรงนี้ก็คือตัวเลข 0 เลข 0 ก็คือสภาวะที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า อันเป็นสถานะภาพที่ดำรงอยู่ของกระแสไฟฟ้าคือเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลา และแสดงออกเป็นความถี่ของการเปิดปิด คลื่นสัญญาณความถี่ของการเปิดปิดเหล่านี้เป็นคลื่นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นการแสดงออกของวัตถุต่างๆที่มีการผลักกันและการดึงดูดกัน การเคลื่อนที่จากการหมุนของวัตถุตัดผ่านสนามแรงแม่เหล็ก ทำให้เกิดความต่างศักดาไฟฟ้า และเกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่วิ่งไปมา การหมุนของมวลอนุภาคที่เกิดการเปลี่ยนปรับวงโคจรก็ทำให้เกิดพลังงานเหล่านี้ออกมาเช่นกัน มวลพลังงานต่างก็มีความถี่ที่แตกต่างกันเช่นการแผ่รังสีของสารกัมมันตภาพรังสีที่ให้ความถี่ที่แตกต่างกัน ความถี่เหล่านี้ก็คือคุณสมบัติประการหนึ่งของสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีการเปิดและปิด ในขณะเดียวกันก็ยังมีการแสดงออกของสเปกตรัมสีดำด้วย ช่องว่างของการเปิดและปิดก็คือช่องว่างของสนามต้านแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
สนามต้านแรงนิวเคลียร์ พิสัยสั้น หรือนิวเคลียร์พลังสูง และสนามต้านแรงนิวเคลียร์พิสัยไกล หรือนิวเคลียร์พลังต่ำ ก็ต้องมีด้วยเช่นกัน การเกิดขึ้นของแรงนิวเคลียร์พลังสูง เกิดจากการหมุนที่มีความเร็วสูงมากเกือบเท่าหรือเท่ากับความเร็วแสงของมวลอนุภาค หรือที่ นิวเคลียสของอะตอมและเป็นผลให้อะตอมมีการดึงดูดกันด้วยแรงมหาศาล ความเร็วที่เร็วสูงมากของการหมุนจนเหมือนกับการหยุดนิ่ง จึงเป็นที่มาของแรงพิสัยสั้น ถ้าไม่มีการหมุนก็คงไม่มีการสะสมพลังงานศักย์ได้สูงถึงขนาดนี้ในลักษณะของแรงพิสัยสั้น ดังนั้น แรงต้านการหมุนใดๆของมวลอนุภาคย่อมเป็นแรงต้านแรงนิวเคลียร์พลังสูง ขณะที่นิวเคลียสอันประกอบไปด้วยโปรตอน ที่เป็นประจุบวก และนิวตรอน ที่เป็นกลาง หมุนตัดผ่านอิเล็กตรอน ที่เป็นประจุลบที่หมุนวนรอบนิวเคลียส ย่อมทำให้เกิดสภาวะที่ ผลักกัน ดูดกัน และ ไม่มีปฏิกิริยา สภาวะที่นิวตรอนหมุนผ่าน ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ ก็คือสภาวะของแรงเฉื่อย อันเป็นสนามแรงที่ต้านแรงหมุนทั้งนี้เนื่องจากการหมุนเกิดจากการดูดและการผลักกันของอนุภาคของประจุบวกและลบของโปรตอน และอิเล็กตรอน
ด้วยลักษณะเช่นนี้ อิเล็กตรอนที่อยู่ภายนอกจึงเป็นเหมือนพันธะที่เชื่อมแรงระหว่างอะตอมกับอะตอมเข้าด้วยกัน และอาจหมุนวนรอบอะตอมอื่นไปด้วย ขึ้นกับพลังงานที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพื่อรักษาดุลยภาพของแรงที่ผลักกันระหว่างนิวเคลียสกับนิวเคลียสที่มีประจุบวก

จากที่กล่าวมา สนามแรงเสมือน ก็คือสนามแรงที่ประกอบกันขึ้น ของเงาแห่งสนามแรง และจาก สนามแรงต้านของแรงทั้ง4 ประกอบกันขึ้น เป็นความต่อเนื่องของการขาดหายไปในกาลาวกาศ9มิติเมื่อเทียบกับองค์รวม ณ. เวลาอ้างอิงในปัจจุบันของวัตถุอ้างอิง การขาดหายไปมีความหมายที่แตกต่างจาก ความหมายของคำว่าที่ว่างของกาลาวกาศ เนื่องจากการขาดหายไปยังอยู่ในกรอบของการประกอบขึ้นของปัจจุบันวัตถุ

คณิตศาสตร์แห่งปัจุจุบันวัตถุ

จากที่กล่าวมาแล้วถึงการขาดหายไปของเหตุการณ์ ทางวัตถุ ( รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าจิต ในที่นี้ ใช้คำว่าวัตถุ ซึ่งรวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าจิต ด้วย) ที่ดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งกาลาวกาศ(space-time)ปรากฎการณ์ ของความต่อเนื่องของเหตุการณ์ (continoum)
ของปัจุจุบันวัตถุใดๆ ล้วนเป็นผลรวมของ เหตุการณ์ในอดีต กับ เหตุการณ์ในอนาคตของการวัดค่าเหตุการณ์นั้นๆ ค่าแห่งอนาคต ตัวอย่างเช่น ปริมาณเวกเตอร์ ของเหตุการณ์นั้นๆ ในกรอบเฉื่อย ย่อมมีทิศทางที่แน่นอน การวัดค่าปริมาณสเกลล่าร์ ล้วนเป็นค่าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตทั้งสิ้น เนื่องจากมีการวัดค่าที่แน่นอนของการสิ้นสุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว 1 เหตุการณ์อ้างอิงโดยมีการเปรียบเทียบกับการสิ้นสุดของอีกเหตุการณ์ ที่อ้างอิง หรือจากผู้สังเกตุ เนื่องจากถ้ามีเหตุการณ์เดียวเกิดขึ้นย่อมไม่สามารถตรวจวัดค่าใดๆได้ เพราะค่าใดๆจะทราบได้ก็โดยการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นหรือเป็นค่าที่สัมพัทธ์

การวัดค่าแห่งปัจจุบันวัตถุ จะต้องประกอบ ไปด้วย ตัวเลขค่าของอดีตหรือการสิ้นสุดของเหตุการณ์และค่าของอนาคต ภายใต้กรอบอ้างอิง เพราะเหตุการณ์ที่เราเรียกว่าปัจจุบัน ที่จริงแล้ว เป็นการวัดค่าของอดีต + ค่าอนาคต ในกรอบเวลาของอดีต
แล้วเวลาของปัจจุบันคืออะไร เวลาแห่งเหตุการณ์ปัจจุบันก็คือค่าความต่อเนื่องของการขาดหายไปของเหตุการณ์ ทั้งนี้เนื่องจากเราจะทราบค่าของเวลาปัจจุบันได้ ก็ต้องทราบปริมาณค่าที่แน่นอนของอนาคต จึงจะสามารถเปรียบเทียบเป็นค่าที่แน่นอนของปัจจุบันได้ แต่ในโลกทางวัตถุ ที่มีความเข้าใจโดยทั่วไปว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เราเรียกว่าอนาคตหรือค่าการสิ้นสุดลงของเหตุการณ์ในอนาคต ณ.เวลาอ้างอิงปัจจุบันแต่ในทางคณิตศาสตร์ สามารถที่จะมีสิ่งที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ได้ตามหลักเหตุและผลหรือตรรกะทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะมีค่าดังนี้

เวลาและเหตุการณ์ปัจจุบัน มีค่า เท่ากับ ค่าของอดีต + ค่าอนาคต ในกรอบเวลาอดีต และ มีค่า เท่ากับเวลาและเหตุการณ์ของอนาคตที่สิ้นสุดลง ในกรอบอ้างอิงของกรอบเฉื่อยใดๆ ในกรอบเวลาอ้างอิงของอนาคต ดังนั้น เวลาและเหตุการณ์ปัจจุบัน จึงเป็นค่าของความต่อเนื่องของการขาดหายไปของเหตุการณ์ ณ.เวลาอ้างอิงปัจจุบัน

สนามแรงเสมือน....ก็คือสนามแรงใดๆ...อันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากอันตรกิริยาระหว่างวัตถุกับสิ่งที่อยู่ภายนอกวัตถุนั้นๆภายใต้การเคลื่อนที่ไป ณ.ตำแหน่งแห่งที่และเวลาอ้างอิงใดๆ....
ตัวอย่างเช่น...ถ้าเปรียบโมเลกุลของน้ำหรือผืนน้ำเสมือนสนามแรงต่างๆที่เกาะเกี่ยวกัน....
ในขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วคงที่บนผืนน้ำนั้น จะทำให้เกิดการก่อรูปขึ้นมาใหม่ในการเคลื่อนที่ของสนามแรงเช่นกัน.....
แผ่นน้ำที่สงบ เมื่อเรานำเอาเรือหรือวัตถุเล็กๆลากไปด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอเราก็จะเห็นคลื่นของผิวน้ำม้วนตัวเป็นวงกลม2 วงที่ข้างหลังวัตถุเคลื่อนที่โดยแยกออกจากวัตถุที่ผ่าน มีทิศทางการหมุนเข้าสู่ศูนย์กลางยังแกนสมมติที่ตรงข้ามกัน คือทวนเข็มนาฬิกา และตามเข็มนาฬิกา พลังงานที่เกิดจากแรงต้านของผิวน้ำที่มีต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ แผ่กระจายเป็นพลังงานที่ดึงผิวน้ำเข้าสู่ศูนย์กลางไว้ที่เบื้องหลังของวัตถุที่ผ่าน.....เกิดการก่อรูปใหม่ของสนามแรง....ในขณะที่มีการคงรูปและรักษาสถานะภาพของวัตถุที่มีพลังงานในการเคลื่อนที่ที่สูงกว่าแรงปฏิกิริยาที่ต้าน...
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน....เราก็เอาผงฝุ่นไม้ใบไม้ที่มีน้ำหนักเบาลอยบนผิวน้ำ...โรยไว้...อันเปรียบเสมือนสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า.....โดยมีผืนน้ำที่เสมือนแรงนิวเคลียร์พลังสูงและนิวเคลียร์พลังต่ำ...
ขณะเดียวกัน ในบริเวณตอนกลางด้านหลังของวัตถุที่เคลื่อนที่นั้นๆก็เกิดสนามแรงขึ้นใหม่เป็นเสมือนสนามแรงโน้มถ่วง
ผิวน้ำและใบไม้.ที่อยู่ใกล้ๆกับวัตถุที่เคลื่อนที่จะเคลื่อนที่ตามไปด้วยแรงดึงดูด......อันถูกดึงไปในทิศทางเดียวกันกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ....
พร้อมๆกับการเกิดขึ้นของวงแหวนพลังงาน 2วงของสนามแรงขึ้นมาใหม่ดังกล่าวทิ้งไว้เบื้องหลัง.....
วงแหวนที่ม้วนตัวเข้าสู่ศูนย์กลางของสนามแรงที่อยู่เบื้องหลังทั้งสองวง....จึงเป็นการก่อรูปของสนามแรงใหม่ที่เกิดขึ้น..จากอันตรกิริยา....โดยมีทิศทางการหมุนเป็น2วงในทิศทางที่ตรงกันข้าม....อันม้วนตัวเข้าสู่ศูนย์กลาง.....
ในขณะที่ด้านหน้าของทิศทางการเคลื่อนที่....พลังงานศักย์ที่ดำรงอยู่ของวัตถุนั้นยังรักษาพันธะในการเกาะเกี่ยวกันไว้ด้วยพลังงานที่สูงกว่าแรงต้านจากสนามแรง.....การส่งพลังงานออกไปยังทิศทางเบื้องหน้าแห่งการเคลื่อนที่บนสนามแรงแห่งนั้น....ย่อมก่อเกิดคลื่นแห่งสนามแรงใหม่ที่เกิดขึ้นแห่งอนาคต....
ณ.จุดอ้างอิงปัจจุบันของวัตถุ...เราจะเห็นว่าแรงปะทะหรือแรงต้านที่ถูกบีบอัด...หรือถูกทำลายการคงรักษาไว้สถานภาพเดิม...ก่อเกิดการม้วนตัวและเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ไป...ก็จะเห็นเป็นสนามแรงใหม่เบื้องหลังดังกล่าว...

การกำหนดขอบเขตในการวิเคราะห์...ก็จะทำให้เราเห็นถึง....ทวิลักษณะที่เกิดขึ้นของสนามแรง....


เมื่อวัตถุได้ถ่ายเทพลังงานออกเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่...ที่จริงแล้วก็คือการรักษาสถานภาพองค์รวมของตนเองไว้....
ด้วยพลังงานที่ใช้ออกไปอย่างสม่ำเสมอ....และมีมากกว่าแรงที่ต้าน...จึงทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไป.....
เมื่อแรงต้านจากภายนอกที่มีเหนือกว่า.....ก็จะทำให้เกิดการปรับดุลยภาพของแรง....ด้วยการหมุน...หรืออาจหยุดนิ่งอย่างสัมพัทธ์ตามขนาดของแรงที่มากระทำ.....หรือเกิดการสูญสลายลงของพลังงานที่ประกอบเป็นพันธะแห่งการยึดเหนี่ยวกัน.....
และก่อรูปเป็นมวลพลังงานใหม่....ที่มีปริมาณและคุณภาพที่แตกต่างจากเดิม....

ในเทหะวัตถุเช่นโลก ที่มีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่(เมื่อเทียบเวลาชีวิตมนุษย์ ถือว่าคงที่ เช่นอาจเปลี่ยนแปลงใน พันปี,หมื่นปี เป็นต้น) โดยมีแกนสมมติที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของมวลพลังงานของดาวทั้งสองต้องใช้เวลานาน เมื่อเทียบเวลาชีวิตมนุษย์ ผู้สังเกตุ เลยถือว่าไม่มีความเร่งใดๆ และมีมวลพลังงานคงที่
จากข้อสมมติฐานที่ว่านี้ เราจะเห็นได้ว่า การส่งผ่านมวลพลังงานของดวงอาทิตย์ผ่านสนามแรงต่างๆมายังขอบเขตุเส้นแรงของสนามแรงโน้มถ่วงเสมือนที่คงที่ตรึงให้โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ในขณะที่โลกเอง ก็มีการหมุนรอบตัวเองตลอดเวลาเพื่อปรับดุลยภาพของแรงที่กระทำ ซึ่งจะทำให้แรงที่ดึงโลกเข้าสู่จุดศูนย์กลางของดวงอาทิตย์มีค่าเท่ากับแรงที่หนีจากจุดศูนย์กลางของโลก กลุ่มแก๊สของมวลพลังงาน หรือดวงอาทิตย์ ที่เกิดจากการระเบิดของปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ จะมีการขยายตัวพองตัวออกตลอดเวลา ตามมวลพลังงานที่ลดลง ก่อนที่จะยุบตัวกลายเป็นหลุมดำในที่สุดจะมีแรงดึงดูดสูงเพื่อดึงดูดมวลพลังงานในจักรวาลอันเป็นการปรับดุลยภาพของระบบและในเมื่อมีการสะสมพลังงานไปเรื่อยๆในที่สุดก็อาจมีการระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง อันเป็นการเริ่มต้นชีวิตของระบบสุริยะในขอบเขตุใหม่

ในอะตอม...การหมุนของอนุภาค...และปฏิอนุภาคต่างๆก็เพื่อรักษาดุลยภาพขององค์รวม...เช่นการหมุนของอิเล็กตรอน...การเปลี่ยนวงโคจรเป็นต้น...รวมไปถึงในนิวเคลียส...

การหมุนของหน่วยชีวภาพและทางสังคมก็คือการรักษาสภาวะเสถียร ของหน่วยนั้นๆให้คงอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของภายนอกที่มีการเคลื่อนที่ไป การปรับตัวก็เพื่อรักษาดุลยภาพของระบบให้คงอยู่ แม้แต่การผ่าเหล่า(mutation) ก็เช่นกันก็เพื่อรักษาสถานภาพเดิมที่มีอยู่ รอบในการหมุน หรือวัฎจักรวงจรชีวิต ของหน่วยชีวภาพ และทางสังคม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของภายนอกหรือมีแรงกระทำจากภายนอกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ย่อมมีผลต่อการหมุนที่เร็วขึ้นหรือช้าลง ของมวลชีวภาพและสังคม
ในทางสังคมเช่นการล่มสลายของสังคมแบบต่างๆ หลังมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งจากทางธรรมชาติและจากมนุษย์ในสังคมที่มีอันตรกิริยาต่อกัน รูปแบบการปรับดุลยภาพของการหมุนให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงในทางสังคม เช่น แนวทาง นโยบาย รัฐ ที่มีการปรับเปลี่ยน การปรับปรุงกระบวนการคิดเป็นต้น อันเป็นการปรับปรุงให้มีรอบของการหมุนที่ได้ดุลยภาพกับภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป หรือมีการถ่ายเท ของ พลังงานศักย์ที่สะสมอยู่ ให้เกิดดุลยภาพ

เงาแห่งการหมุนหรือผลอันเกิดจากวัตถุที่มีการหมุน หรือการปรับดุลยภาพกับสิ่งอื่นภายนอกที่มีอันตรกิริยากัน ก่อให้เกิดแรงที่ส่งออกไป กับแรงที่ดึงดูดเข้ามา และเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่แน่นอนก็จะทิ้งร่องรอยของพลังงานเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง พร้อมๆกับคลื่นของมวลพลังงานที่ส่งออกไปข้างหน้าอันก่อให้เกิดสนามแรงเสมือนแห่งอนาคตที่เป็นร่องรอย หรือกรอบของสนามแรงเสมือนที่จะรองรับต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะเข้าไปแทนที่ในที่ว่างเสมือนซึ่งเป็นเสมือนกับที่ว่าง(space)แต่ที่จริงแล้วเป็นกรอบของสนามแรงเสมือนที่ก่อเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับเวลาอ้างอิงของวัตถุเพื่อที่จะรองรับการเข้าแทนที่ของวัตถุในตำแหน่งแห่งที่นั้นในอนาคต สนามแรงที่เกิดขึ้นของอดีต และอนาคต ก็คือสนามแรงเสมือน

แรงปฏิกิริยาที่ดำรงอยู่อันขัดขวางต่อการเคลื่อนที่พัฒนาไปข้างหน้าของวัตถุ...และประกอบกันเป็นตาข่ายแห่งสนามแรงที่ดำรงอยู่....ถ้าไม่มีแรงต้านเหล่านี้...วัตถุต่างๆก็ไม่มีความแตกต่าง...ไม่มีการเปลี่ยนแปลง...ไม่มีการคงรูปที่แตกต่างกันหรือการคงรูปของความต่อเนื่องของเหตุการณ์และความต่อเนื่องแห่งการขาดหายไปของเหตุการณ์.....ที่ดำรงอยู่ในกาลาวกาศ....
สนามแรงต้านแรงโน้มถ่วง,สนามแรงต้านแรงแม่เหล็กไฟฟ้า , สนามแรงต้านแรงนิวเคลียร์พลังสูง และสนามแรงต้านแรงนิวเคลียร์พลังต่ำ ทั้งหมดก็คือ สนามแรงของแรงต้านสนามแรง


ปัจจุบัน...เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า...มวลพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน..และแปรเปลี่ยนไปมาได้...ภายใต้เงื่อนไขหนึ่งมวลเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงาน....พลังงานก็แปรเปลี่ยนมาเป็นมวลได้ตามสมการทางคณิตศาสตร์ ไอน์สไตน์...
วัตถุต่างๆเมื่อแยกย่อยลงไป....จนถึงที่สุดแล้ว...ก็จะพบว่าเป็นองค์รวมแห่งการเกาะเกี่ยวกันขึ้นบนสนามแรงต่างๆ....ของมวลพลังงานเหล่านั้น...
การแสดงออกจะแสดงออกได้ทั้งในสถานะอนุภาคที่มีมวลและสถานภาพของคลื่น....อันไม่มีมวลหรือเป็นพลังงานที่แสดงออก.....
การผสมผสานของสนามแรงต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติจึงก่อเกิดรูปการของสิ่งมีมวลขึ้นมา.......

วินาทีแรกของจักรวาล....จึงไม่ใช่การระเบิดใหญ่หรือบิ๊กแบง....เพราะในการอธิบายการระเบิดจากการอัดแน่นของมวลที่ก่อให้เกิดการระเบิดใหญ่.....

หากจักรวาลเริ่มแรกมีเพียงสนามแรง....แรงอันน้อยนิดก็ทำให้เกิดการรวมตัวของสนามแรงได้...และการเกาะรวมกันเป็นกลุ่มพลังงานน้อยนิด...ก็สามารถที่จะทำให้เกิดการม้วนตัวของสนามแรงก่อเกิดกลุ่มก้อนพลังงานขนาดใหญ่ได้.......ภายใต้การไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆ...
วินาทีแรกของจักรวาล....จึงต้องนับตั้งแต่กลุ่มพลังงานที่ไร้มวลทางวัตถุเกิดการรวมตัว.......บนสนามแรงและก่อให้เกิดการม้วนตัวของสนามแรง.....ผสานกันขึ้นเป็นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่......

และนี่เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของจิต....และวัตถุ...
ของสิ่งที่ไร้มวลหรือมีมวลน้อยมากจนวัดไม่ได้ด้วยหน่วยวัดปัจจุบันของมนุษย์.....กับสิ่งที่ตรวจวัดได้ในเชิงประจักษ์นิยมในสิ่งที่เรียกว่าวัตถุ.....
สิ่งที่มีมวลน้อยมากหรือไร้มวล....ย่อมสามารถที่จะก่อเกิดสิ่งที่มีมวลพลังงานมหาศาลได้......
ดังค่าความสมมาตรกันของสมการไอน์สไตน์....

และทำนองเดียวกันความสมมาตรกันในทิศทางตรงข้ามของสมการ
จากการก่อรูปเป็นแกนโคออดิเนทใหม่....ที่เคลื่อนที่ออกจาก 0 ใหม่ที่ทับซ้อนแกนเดิม ที่มวลมีค่าอนันต์และความเร็วตั้งต้นที่ความเร็วแสง...เมื่อมีการเปรียบเทียบอย่างสัมพัทธ์กับแกนเดิม....อันเป็นข้อจำกัดในการวัดค่าของสิ่งที่มีมวลวัตถุในทางคณิตศาสตร์....และเป็นการก่อรูปใหม่ในการเคลื่อนที่ของสิ่งที่ไร้มวลรูปวัตถุ....หรือสิ่งที่มวลมีค่าอนันต์....
ในทางกลับกัน...การลดลงของพลังงานใดๆอันเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดการก่อรูปการทางวัตถุ.....เช่น...การเคลื่อนที่ในทางจิต...การลดลงของกิเลส..และอารมณ์ต่างๆ...
กิเลส...และอารมณ์ต่างๆอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหรือพลังงานในการก่อรูปการการเคลื่อนที่....ของระบบที่มีความเร็วต่ำ.....หรือเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เกิดการเคลื่อนที่ถอยหลังในแกนโคออดิเนทใหม่...
การลดลง...ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่สูง....(มวล)จิตกลับเป็นไปในทิศทางตรงข้าม...ในขนาดที่ดำรงอยู่ในสเปก...คือใหญ่ขึ้นจนถึงอนันต์...
จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่....
สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในมนุษย์ทั้งสองระบบ....!!!
และมีความสมมาตรกันทางคณิตศาสตร์ในทั้งสองแบบ....
อันเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกแห่งวัตถุ....และโลกแห่งจิต.....ในเชิงประมาณการ...

มิติที่ 6 มิติแห่งวงแหวน


ดังได้กล่าวมาแล้ว...การอ้างอิงใดๆในปัจจุบัน..ล้วนเป็นการอ้างอิงในการตรวจวัดเป็นแบบอ้างอิงหรือแบบจำลองในกรอบ4มิติ...คือกว้าง..ยาว...ลึกหรือหนา...และเวลา...รวมเป็นกาลาวกาศ4มิติอันเป็นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ในที่ว่าง...และบนพื้นฐานการวิเคราะห์แห่งความต่อเนื่องของการประจักษ์หรือการต่อเนื่องการปรากฎใดๆของวัตถุ....ด้วยเครื่องวัดที่อายตนะมนุษย์สามารถรับรู้ได้....
เรายังขาดการวิเคราะห์....ความต่อเนื่องแห่งการขาดหายไปของเหตุการณ์...ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่มีขอบเขตขนาดใหญ่....ตัวแปรที่เป็นอนันต์...อนัตตา.....

จากมิติที่5อันเป็นมิติแห่งเงา....เราจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบทางวัตถุภายใต้อันตรกิริยากับภายนอก...ก่อให้เกิด...เงาแห่งอดีต....เงาแห่งปัจจุบัน....และเงาแห่งอนาคต..เมื่อมีการเปรียบเทียบภายใต้กรอบอ้างอิง.....ในความต่อเนื่องของเหตุการณ์และความต่อเนื่องในการขาดหายไปของเหตุการณ์....
มิติแห่งวงแหวน....หมายถึง...มิติหนึ่งที่ดำรงอยู่ของวัตถุ...หรือศักย์ที่ดำรงอยู่นั้นๆได้ส่งผ่านพลังงานออกมาภายนอก....
ตัวอย่างเช่น วัตถุทุกชนิด มีการแผ่รังสีออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน....คนก็เช่นกันที่มีการแผ่พลังงานเหล่านี้ออกมาที่ไม่เหมือนกัน...ทั้งในทางฟิสิกส์...ทางสังคม....ทางจิตวิญญาณ...ตามคุณภาพที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน...
ในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชา spectroscopy หรือการศึกษาคุณสมบัติของวัตถุที่มีการแผ่รังสีออกมาในรูปของคลื่นที่เป็นแถบสเปกตรัมที่แตกต่างกัน...
ในหน่วยองค์รวมทางชีวภาพ...เช่นมนุษย์...ก็มีการแผ่พลังงานออกมาภายนอก...ในทางฟิสิกส์เช่น..ออร่า...อันเกิดจากศักย์ที่ดำรงอยู่ทางกายภาพ....จากการถ่ายภาพด้วยเทคนิคพิเศษ..จะทำให้เห็นว่า...แต่ละคนมีรังสีที่แผ่ออกมาไม่เหมือนกัน......ในทางสังคม...ศักย์ที่ดำรงอยู่ภายใต้อันตรกิริยาในทางสังคมที่แต่ละคนมีที่แตกต่างกัน....ก็แสดงออกในรูป...บารมี...ความเชื่อถือ...ความรัก....ความศรัทธา..ฯลฯ....
พลังงานศักย์...ที่แผ่ออกมาภายนอก...ล้วนเพื่อเกิดการปรับดุลยภาพ...กล่าวคือเพื่อรักษาสมดุลกับแรงกระทำจากภายนอก...หรือสภาพแวดล้อม...
การหมุน การสั่นสะเทือน การสร้างตนเองขึ้นมาใหม่ การดูดกลืน การแผ่รังสี การสอดแทรก การหักล้าง การเสริม การแตกตัว การรวมตัว ฯลฯ ล้วนแล้วเป็นการปรับดุลยภาพ...

สิ่งใดๆ....ที่มีการดำรงอยู่ในความต่อเนื่องของกาลาวกาศ...ย่อมมีการดำรงอยู่ของมิติแห่งวงแหวน...ที่มีปริมาณและคุณภาพที่แน่นอนอย่างสัมพัทธ์จำนวนหนึ่ง...อันส่งผ่านออกไปยังภายนอกที่มีอันตรกิริยาภายใต้สนามแรงนั้นๆ......
ขอบเขตการตรวจวัด...จึงไม่ควรจำกัดแค่ความกว้าง....ความยาว...ความหนา...และหน่วยเวลา.....หากยังมีขอบเขตของ...เงา...และ...ขอบเขตแห่งวงแหวน...ดำรงอยู่....

แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ปัจจุบัน...อันเป็นแบบจำลองกาลาวกาศ4มิติ...ได้อธิบายการดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆ....ภายใต้ความเชื่อในการอ้างอิงในเชิงประจักษ์นิยมที่อายตนะสามารถรับรู้การตรวจวัดนั้นได้....และภายใต้การประมาณการจากเครื่องมือตรวจวัดที่อยู่บนพื้นฐานอายตนะมนุษย์รับรู้...
ข้อจำกัดของการหาข้อสรุปจากลักษณะทั่วไปสู่ลักษณะเฉพาะหรือวิธีการอุปนัย...และวิธีการค้นคว้าลักษณะเฉพาะไปสู่ข้อสรุปทั่วไป..หรือนิรนัย....นั้นล้วนมีข้อจำกัดในการอธิบายทั้งนี้เนื่องจาก...
การประกอบขึ้นของเหตุการณ์ใดๆล้วนมีขอบเขตในการดำรงอยู่ที่แตกต่างกัน...
ระบบการอ้างอิงปัจจุบันของเราอยู่ที่ความเร็วสุดที่ความเร็วแสง....และยืนยันในความคิดที่ว่า...ไม่มีสิ่งที่มีมวลวัตถุใดๆเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าความเร็วแสง...

ในจักรวาล....ประกอบไปด้วยความเร็วสัมพัทธ์ของระบบที่มีการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมออยู่หลายระบบความเร็ว...ความเร็วที่เหนือกว่า186,000ไมล์ต่อชั่วโมงของกาแลกซี่มากมาย....กลุ่มดาวจำนวนมาก...กลุ่มพลาสมา...ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าความเร็วแสง...
ระบบที่เรายึดถืออ้างอิงคือความเร็วแสง....หรือ C ยกกำลังสอง...ที่แสงเดินทางจากวัตถุมาสู่สายตาและเดินทางกลับ....

ถ้าเราเปรียบเทียบระบบความเร็วระบบสุริยะของเรา....สมมติว่าเหมือนรถยนตร์ที่วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ50ไมล์ต่อชั่วโมง....
อีกระบบหนึ่ง...วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ 200ไมล์ต่อชั่วโมง..หรือ4เท่าของระบบเรา...

สมมติว่า...รถทั้งสองคันออกมาจากจุดสตาร์ทเดียวกัน เช่นเดียวกันกับก่อนการระเบิดใหญ่..และวิ่งไปบนเส้นทางเดียวกัน....
เราซึ่งอยู่บนรถที่วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ 50ไมล์ต่อชั่วโมง...ก็ย่อมไม่สามารถที่จะตามไปให้ทันรถที่วิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ200ไมล์ต่อชั่วโมงได้ทัน....
และถ้าหาก เปรียบเทียบว่า ความเร็ว50ไมล์ต่อชั่วโมงคือระบบความเร็วแสง....เราก็ไม่มีสิทธิ์มองเห็นหรือสัมผัสสิ่งนั้นได้เลย....เพราะแสงเดินทางตามก็ไม่ทัน....
แต่เราก็รู้ว่ามีสิ่งนั้นดำรงอยู่....

ในทำนองเดียวกัน....ระบบของสิ่งที่ช้า...ไม่มีความเร็วจนเหมือนกับหยุดนิ่งอย่างสัมพัทธ์เมื่อเทียบกับความเร็วของเรา...ระบบเหล่านี้ก็ยังมีอยู่...

ระบบพลังงานทางจิตของมนุษย์.....เช่นสุนทรียภาพต่างๆ....การตรวจวัดหาค่าประมาณการที่แน่นอนย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก....
ความรัก...ความงาม...ความโกรธ...ความเกลียด...หรืออารมณ์ต่างๆที่แสดงออกของคนเรา
มนุษย์เราสามรถรับรู้ได้และยอมรับว่ามีอยู่จริง....
เช่น ความรัก...ของหญิงชาย...ที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ว่าตำแหน่งแห่งที่(space)มันดำรงอยู่ที่ไหน...แต่ก็สามารถ...รังสรรค์ขึ้นมาและรับรู้ร่วมกันได้....
ตำแหน่งแห่งที่ใดๆ....ล้วนสัมพันธ์กับความเร็วของระบบ....
การรับรู้ทางจิตใจ....เป็นการรับรู้ของระบบความเร็วสัมพัทธ์ที่สูงกว่า...อันไม่ถูกจำกัดจากตำแหน่งแห่งที่เหมือนเช่นมวลทางวัตถุ....

อวกาศ...หรือที่ว่าง...ย่อมไม่ใช่ที่ว่างโดยปราศจากการดำรงอยู่ของสิ่งใดๆ.....หากประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆที่มีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน...
สนามแรงที่ดำรงอยู่ในที่ว่างในจักรวาล...ประกอบไปด้วยเงื่อนไขอันก่อเกิดอันตรกิริยาของมวลพลังงานที่ต่างกัน....
ไม่ต่างจาก...ตะแกรง...ที่มีความถี่แตกต่างกัน....
ตะแกรงหยาบๆ...ย่อมสามารถกรองมวลวัตถุไว้ได้...
แต่สิ่งที่เล็กลงไปมากๆ....ก็ต้องอาศัยสนามแรงหรือตะแกรงที่มีขนาดความถี่ละเอียดยิบ...
และพลังงานที่สูง...

สนามแรงเหล่านี้....อีกมากมายบนจักรวาลนี้ที่เรายังไม่ค้นพบ....หากจะอาศัยเพียงแค่ประจักษ์นิยมบนพื้นฐานของตะแกรงที่หยาบ....


ในการอธิบายแบบประจักษ์นิยม ด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในความต่อเนื่องของกาลาวกาศใน4มิติของวัตถุ...จะเห็นว่าจักรวาลมีขอบเขต...และอยู่ในระบบปิด...กล่าวคือ...
ขอบเขตที่อ้างอิงอันจำกัดในค่าตัวเลขที่แน่นอนทางคณิตศาสตร์...เช่นค่าอนันต์ที่ไม่อาจทราบค่าได้....และการอ้างอิงค่าคงที่ที่ค่าความเร็วสูงสุดเท่าแสง.....

ถ้าหากว่า...จักรวาลการดำรงอยู่ของสนามแรงที่มีหลากหลายของสนามแรง....ที่แปรเปลี่ยนไปตามกระบวนแห่งอันตรกิริยาที่แตกต่างกัน....
ระบบจักรวาลบนแบบจำลองคณิตศาสตร์ของระบบความเร็วสูงสุดที่ความเร็วแสง....ก็ไม่ต่างจาก.......ผ้าผืนหนึ่งที่ขึงตึงทุกด้านโดยไร้แรงต้านทานใดๆเหมือนเช่นสนามแรงที่มีอันตรกิริยากับมวลพลังงานก่อรูปขึ้นภายใต้ระบบความเร็วสูงสุดเท่าความเร็วแสง.....โดยมีอาณาเขตุของสนามแรงอื่นๆล้อมรอบ....และผ่านทะลุเข้าออกบนผ้าผืนนั้นราวกลับไม่มีผ้าดำรงอยู่.....ในขณะที่ในระบบของผ้า....หยาบเกินไปจะแทรกเข้าไปในสนามแรงที่ละเอียดอื่นๆเหล่านั้นที่ดำรงอยู่....

มิติแห่งวงแหวน....เป็นเพียงการทำความเข้าใจในสถานะหนึ่งที่ดำรงอยู่ของวัตถุบนสนามแรง...
การม้วนตัว...เกาะเกี่ยวและก่อรูปใหม่ของสนามแรงต่างๆภายใต้อันตรกิริยากับกลุ่มพลังงานจำนวนหนึ่งก่อรูปการดำรงอยู่ของวัตถุในที่ว่างสมมตินั้นๆ.....
กลุ่มพลังงานเหล่านั้น...นอกเหนือจากการตรวจวัดขนาดความกว้าง...หนา...ลึก...เพื่อทำความเข้าใจขนาดปริมาณ....การดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์นั้นๆของกลุ่มพลังงานหรือมวลพลังงานเหล่านี้ยังมีการดำรงอยู่ของ....ปริมาณแห่งอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นกับสนามแรงทุกสนามแรง....
ภายใต้อันตรกิริยา...ของระบบที่มีความเร็วแตกต่างกันหลายระบบ....
ก่อเกิดองค์รวมใหม่ของมวลพลังงาน...ที่แตกต่างกันออกไป....เมื่อมีการจำแนกแจกแจงประเภท.....
การดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์...ทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค...
จาก giga ไปจนถึง exa และอนันต์....และจาก nano ไปจนถึง atto และอนันต์.....ในหน่วยวัดทางคณิตศาสตร์.....ทั้งการวัดขนาดปริมาณและการหาค่าเวลาเพื่อทำการจำแนกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด....

กลุ่มพลังงานที่ก่อเกิดจากการรวมตัวขึ้น...ภายใต้อันตรกิริยากับสนามแรง....ยังมีการส่งพลังงานออกไปข้างนอก.....ในขณะที่มีการดูดกลืนพลังงานเข้ามา....
การส่งพลังงานและการดูดกลืนพลังงาน...จึงเป็นคุณสมบัติหนึ่งของมวลพลังงานใดๆที่ดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์....
ขอบเขตุ...ของพลังงานที่ส่งออก...และดูดกลืนเข้ามา....ในปริมาณและคุณภาพจึงเป็นขอบเขตุของตำแหน่งแห่งที่(space)ที่ดำรงอยู่ในที่ว่างแห่งเหตุการณ์นั้นๆของวัตถุ....หรือเรียกว่า...
มิติแห่งวงแหวน....อันเป็นคุณสมบัติหนึ่งในการตรวจวัดปริมาณและคุณภาพของวัตถุ..หรือมวลพลังงานใดๆ....

การวิเคราะห์กระบวนแห่งการพัฒนาไป...ภายใต้กรอบเวลา...สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ...การหมุน...อันเป็นพื้นฐานจากอันตรกิริยากับสนามแรง.....และ...สนามแรงเสมือน....อันเป็นผลที่เกิดขึ้นในการก่อรูปการใหม่ของสนามแรงและมวลพลังงานนั้นๆภายใต้การเคลื่อนที่ไปในระบบ....
ที่มีความเร็วแตกต่างกัน.....

ไม่มีความคิดเห็น: