วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2550

กระบวนทัศน์องค์รวมพหุภาพ (5)

ท่านที่ติดตามการเสนอกรอบแนวคิดที่ผมนำเสนอ...อาจจะสงสัยว่าในการเสนอความคิดแบบองค์รวม9มิติ...ทำไมจึงมาเน้นหนักกับการอธิบายในมิตินี้มากนัก....ถ้ารวมกับในบล็อก..สายน้ำแห่งความรักหรือฟิสิกส์ระบำปลายเท้าของLeehonglong....ไม่ต่ำกว่า40 ตอนที่ลงต่อเนื่องกันมา...

เหตุผลก็คือ...มิติที่5 เงา...มิติ6วงแหวน...มิติ7การทับซ้อน(พหุภาพกายภาพ)...จะเป็นการวิเคราะห์ที่เน้นในลักษณะ space ที่ดำรงอยู่....

ส่วนมิติที่8 จะเพิ่มหน่วยของเวลา....และแสดงออกถึงการทับซ้อนหรือพหุภาพของเวลา...ที่ประกอบกันขึ้นเป็นความต่อเนื่องของกาลาวกาศ.....ซึ่งเราจะเห็นว่าเมื่อแสงเดินทางมาถึงเราซึ่งเป็นผู้สังเกตุด้วยเวลาเดียวกัน....ที่จริงแล้วเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มีระยะทางที่แตกต่างกัน...และระยะทางที่แตกต่างเหล่านี้...ก่อเกิดอดีต ปัจจุบัน และอนาคต...เมื่อเทียบกับเวลาแห่งผู้สังเกตุปัจจุบัน...

ปัจจุบันเราถือว่า...แสงไม่ว่าจะตรวจวัดที่ไหนบนโลก...ล้วนตรวจวัดความเร็วได้เท่ากัน...เหตุการณ์ที่เราเห็นเป็นความต่อเนื่อง...และการขาดหายไปของเหตุการณ์...อันประกอบกันขึ้นเป็นการรับรู้ของเรา ณ.เวลาปัจจุบันด้วยข้อมูลความเร็วพร้อมกัน...
เนื่องมาจาก...เป็นการก่อรูปการใหม่ขึ้นในทางวัตถุ....ในระบบทางความคิดของเราภายใต้การตรวจวัดด้วยเครื่องมือตรวจวัดและการสัมผัสด้วยอายตนะที่เรามี...

ข้อมูล 100 ล้านปีแสง....1 ปี....และ 1 วินาที ก่อเกิดอันตรกิริยากับอายตนะของเราในเวลาพร้อมกัน.....
หากเรามองอย่างแยกส่วน....ก็จะเห็นว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลของเหตุการณ์รวมไปถึงข้อมูลแห่งการขาดหายไปของเหตุการณ์.....มีการดำรงอยู่ในความต่อเนื่องของกาลาวกาศที่แตกต่างกัน....
การรับรู้ของเรา....หรือผู้สังเกตุใดๆ....จึงเป็นเพียงการรับรู้แห่งกระบวนการอันตรกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างสิ่งนั้นๆกับผู้สังเกตุนั้นๆ....โดยไม่อาจแยกออกจากกันได้

ถ้าเป็นความสมมูลกันในทางคณิตศาสตร์ในเชิงนามธรรมละก็ไม่มีปัญหาในการมองค่าตัวเลขเหล่านั้น
แต่....การจินตนาการจากความสมมูลทางคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเป็นรูปธรรม....มันต้องใช้จินตนาการ...ความคิด...มองรูปธรรมในสิ่งที่มองไม่เห็น...มันเป็นเรื่องยากมาก..
เอาแค่เรื่อง...เวลา...ความเร็วของแสง...เราลองนึกภาพดูว่า เหตุการณ์ เมื่อ 100 ล้านปีแสงถ้าเรามองเห็น การเดินทางของแสง ก็จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เริ่มต้นเมื่อ 100ล้านปีแสง ณ.เวลาที่สังเกตุปัจจุบัน ต้องเดินทางล่วงหน้ามา บรรจบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของ 1 วินาทีปัจจุบันที่มาถึงสายตาเราและยังรวมกับเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้นในหน่วยเวลาที่แตกต่างกันไปอีกมากมาย....

การที่ผมเน้นในการอธิบายในมิติที่8 นี้....เพราะเนื่องจากประเด็นต่างๆในปัญหาทางฟิสิกส์ที่ยังมีข้อที่ต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด...เกี่ยวข้องกับมิตินี้...ยังมีความไม่กระจ่างในหลายประเด็นเช่น


-ลักษณะที่เป็นอนุภาคและลักษณะที่เป็นคลื่นของแสง...มีความเกี่ยวพันกันและสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเช่นไร....เมื่อไรอนุภาคนั้นๆจะส่งพลังงานออกมาเป็นคลื่น...เมื่อไรจึงจะเป็นอนุภาค.....ปัจจุบันอธิบายในแง่การชนกันของอนุภาค...การดูดกลืน...การถ่ายทอดพลังงานออกมา...เป็นต้น..และสิ่งที่เราเข้าใจถูกต้องแล้วหรือ....

-โครงสร้างอะตอม....ที่เราอธิบายความสัมพันธ์ต่างๆ....ถูกต้องแล้วหรือ...มีลักษณะความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไปหรือไม่....และเนื่องจากประเด็นโครงสร้างนี้จะเป็นเรื่องหลักในการจินตภาพถึงการทำงานของอนุภาคต่างๆ....

-ทำไมเราจึงถือว่า...ไม่สามารถหาประมาณการที่แน่นอนของอนุภาคได้....และสาเหตุที่ไม่สามารถหาได้เกิดจาก...ข้อจำกัดในทางทฤษฎี หรือมุมมองหรือไม่....ปัจจุบันที่เรายึดถือหลักแห่งความไม่แน่นอน...

-ทำไมเราไม่ถือเอาการตรวจวัด เป็นการตรวจวัดค่าความแน่นอนของปรากฏการณ์

-แบบชุดตัวเลขควอนตัม...และคุณสมบัติ ควาร์ก ที่เราสมมติค่าต่างๆขึ้นเพื่อตรวจวัดหาอนุภาคมูลฐานนั้นที่จริงแล้วเราก็จะพบ ควาร์กใหม่ไปเรื่อยๆตามค่าอนันต์ในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ...และการก่อรูปการขึ้นของมวลพลังงานเหล่านั้น...อย่างไม่มีที่สิ้นสุดว่าอะไรคือหน่วยมูลฐานของอนุภาคหรือสิ่งที่มีมวล....

-รอยต่อระหว่าง...สิ่งที่มีมวล...และสภาวะที่ไม่มีมวล...เป็นเช่นไร..

-สิ่งที่เกิดขึ้นในการตรวจวัดใดๆล้วนเป็นอันตรกิริยาระหว่างภายนอกกับสิ่งตรวจวัด...

และยังมีอีกมากมายในประเด็นต่างๆ....ที่เราต้องทำความเข้าใจ....ในหลักการโลกแห่งฟิสิกส์

ในการสร้างนวัตกรรม...การหาทางออกใหม่ๆใดๆ...สิ่งสำคัญที่สุดประการแรกคือ..การคิดใหม่ต่อเรื่องหลักการ....

ดังแนวคิดของ Alvin &Heldi Toffler ที่ กล่าวใน หนังสือ Rethinking the Future

และเรื่องสำคัญประการแรกคือ....
การคิดใหม่ทำใหม่ต่อเรื่องหลักการ.....

แน่นอนที่สุด...ไม่ได้หมายถึงการล้มล้างความเชื่อ...แต่หมายถึงการต่อยอด...การพัฒนา...การหามุมมองใหม่...การหาหลักการใหม่ในการอธิบายให้กว้างขวางและใกล้ความจริงยิ่งขึ้น...

และต้องไม่ลืมว่า.....ความสำเร็จของวันวานคือสูตรแห่งความล้มเหลวของวันพรุ่งนี้...ดังที่ ไมเคิล แฮมเมอร์ ผู้จุดประกายแนวคิดreengineering เมื่อหลายสิบปี....กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้..

มิติที่8 พหุภาพเวลา...(ต่อ)
ตอนโลกแห่งอนุภาค


ในการวิเคราะห์จุดเริ่มต้นของเวลาหรือการก่อรูปการทางวัตถุของสิ่งต่างๆในระบบแห่งกาลาวกาศใดๆที่ตรวจวัดได้จากแบบวิธีการตรวจวัดที่แตกต่างกัน....สรุปแล้วก็คือ...

การนับเวลาใดๆ...ล้วนต้องสัมพันธ์กับกรอบอ้างอิง...ขอบเขตุของการอ้างอิงหรือกรอบแห่งความสัมบูรณ์และกรอบแห่งความสัมพัทธ์ของรูปการทางวัตถุนั้นๆอันรวมไปถึงกระบวนการตรวจวัดนั้นๆ...

เป็นเวลา 100 ปี นับตั้งแต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป...และทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ.....

ตลอดชั่วชีวิต ของไอน์สไตน์ กับความพยายามที่จะหาคำตอบให้กับ ในความเชื่อที่ว่า.....กฎเกณท์ทางฟิสิกส์ ย่อมเป็นแบบเดียวกันที่สามารถที่จะอธิบายปรากฎการณ์แก่สรรพสิ่งได้....หรือ Theory Of Everything......

สิ่งที่ยังค้างคาใจของไอน์สไตน์ อยู่ก็คือ....การรวมสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า เข้ากับสนามแรงโน้มถ่วงที่ยังไม่สามารถหาหลักการพื้นฐานได้ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆของอนุภาค....

ซึ่งไอน์สไตน์เชื่อว่า.....สิ่งต่างๆย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณท์พื้นฐานเดียวกันกฎทางฟิสิกส์จะเหมือนกันไม่ว่าเวลาใดและพื้นที่ใดของเอกภพ....แต่สำหรับอนุภาคแล้วไอน์สไตน์ต้องยอมตัดเรื่องแรงโน้มถ่วงทิ้งไปในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ...

การอธิบายในแบบทฤษฎีควอนตัม อันเป็นการพัฒนาไปในรูปแบบการศึกษาในเชิงปรากฎการณ์ของเหตุการณ์หนึ่งๆ....และยึดถือหลักแห่งความไม่แน่นอน...รวมไปถึงแนวทางที่เป็นแบบกลศาสตร์ความน่าจะเป็นในเชิงสถิติ....และไม่ได้ถือว่าแรงโน้มถ่วงมีบทบาทในการวิเคราะห์ถึงอนุภาคต่างๆ...


ความพยายามที่จะหาความสมมาตรพื้นฐาน (fundamental symmetry) ของบรรดานักฟิสิกส์ยุคปัจจุบัน...เพื่อต่อยอดองค์ความรู้...และพยายามที่จะเชื่อมให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ที่กล่าวถึงแรงโน้มถ่วง กับทฤษฎีควอนตัมที่ปัจจุบันเราใช้ในการศึกษาปรากฎการณ์ต่างๆในระดับอนุภาค เพื่อสร้างหลักการพื้นฐานทางฟิสิกส์ จึงมีมาตลอด

นับตั้งแต่...การตั้งสมมติฐานทดลองหาข้อสรุปในความผิดพลาดของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือที่เรียกว่าการละเมิดหลักการสัมพัทธภาพ มากมายหลายหัวข้อการทดลอง...

ทฤษฎีสตริง (string theory)...หรือทฤษฎีเอ็ม (M-theory) ก็เป็นกรอบแนวคิดหนึ่งที่พัฒนามาจากแนวคิดของ ธีโอดอร์ คาลูซา และออสการ์ ไคลน์ ที่อยู่ในยุคไอน์สไตน์....ปัจจุบันมีการพัฒนาต่อยอดทางความคิดในบรรดานักฟิสิกส์ในหลายประเทศ....และพัฒนาไปในหลายเวอร์ชั่นในปัจจุบัน...

จินตภาพ กว้างๆของทฤษฎี นี้กล่าวคือ...

ในโลกของสิ่งที่เล็กลงไปของอนุภาคและปฏิอนุภาคนั้น...มีความสมมาตรในแบบที่เรียกว่า supersymmetry อวกาศที่ว่างจะมีค่าพลังงานเป็นศูนย์ โลกของอนุภาคจะประกอบไปด้วย...มิติพิเศษ...

การตรวจวัดรูปทรงเรขาคณิต ได้แก่การตรวจวัดมุมระหว่างมิติพิเศษขนาดเล็ก และเส้นรอบวงของมิติพิเศษขนาดเล็กนี้
เส้นรอบวงจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างแรงแม่เหล็กไฟฟ้า กับแรงโน้มถ่วง

ในแนวคิดของทฤษฎีนี้เชื่อว่า...อนุภาคที่จริงแล้วก็คือเส้นรอบวง...หรือสตริงที่สั่นไหวตัวตลอดเวลา....และหากจะให้สมมาตรในทางคณิตศาสตร์จะต้องมีมิติพิเศษ อีก6 มิติเพิ่มขึ้น....เมื่อรวมกับ4มิติกาลาวกาศก็เป็น 10 มิติ แทรกอยู่บนแผ่นที่เรียกว่า เบรน( Brane) หรือเมมเบรน (Membranes)ที่ลอยตัวอยู่บนกาลาวกาศ...

กล่าวโดยสรุปก็คือทฤษฎีนี้ต้องการที่จะเชื่อมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเข้ากับทฤษฎีควอนตัมเพื่อหาหลักการพื้นฐานในทางฟิสิกส์ที่อธิบายสรรพสิ่ง....

ภายใต้การต่อยอดทางความรู้โลกแห่งอนุภาค...อันพัฒนามาจากโครงสร้างอะตอมของ นิลล์ บอร์ห...และทฤษฎีควอนตัม

จินตภาพโลกของอะตอม...และโครงสร้างรูปทรงทางเรขาคณิตเป็นเช่นนี้จริงหรือ...???!!



ราวๆ5-6เดือนที่แล้ว...ผมได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวสั้นๆว่า นักวิทยาศาสตร์รัสเซียได้ทำการทดลอง....นำเอาสารแม่เหล็กน้ำเข้าไปล้อมนิวเคลียสเซลล์มะเร็งเพื่อทำให้เกิดความร้อนขึ้นและทำลายเซลล์มะเร็ง....เนื้อข่าวก็รายงานสั้นๆแค่นี้เลยไม่รู้รายละเอียดว่ามีเท็คนิคแบบไหน....

ก็เลยนึกไปถึงเรื่องราวประหลาดที่มีการเผยแพร่มานานทางสื่อต่างๆของต่างประเทศและในไทยเราที่มีการนำมาเสนอในทางนิตยสารและทีวีบางช่อง....เกี่ยวกับเรื่องราวของการเกิดการเผาไหม้แบบพิสดารของร่างกายคนที่ลุกไหม้ขึ้นมาจนร่างกายวอดวายไปกับไฟบัลลัยกัลป์....ในขณะที่นอนหลับและที่นอนหมอนมุ้งไม่ติดไฟลุกไหม้ตามไปด้วย...เรื่องราวแบบนี้จะเป็นจริงหรือเท็จปัจจุบันยังพิสูจน์ไม่ได้....และยังมีข้อสันนิษฐานหลายประการ และมีข้อสันนิษฐานประการหนึ่งคือ...Cold Fusion....


กระบวนการ cold fusion เกิดขึ้นได้หรือไม่ในระบบร่างกายที่เป็นองค์รวมย่อยหลายหมื่นหลายพันล้านองค์รวมของเซลล์....ที่มีระบบแห่งการปรับดุลยภาพได้อย่างยอดเยี่ยมของระบบร่างกาย....

กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียทดลอง....ก็น่าจะเป็นกระบวนการในแบบ cold fusion...เมื่อเทียบกับ กระบวนการfusionอื่นๆที่ต้องใช้พลังงานความร้อนเหนี่ยวนำให้เกิดการรวมตัว...
ความร้อนที่เกิดจากอันตรกิริยาจากการเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดเล็กของเซลล์นั้นๆ และการสูญสลายพันธะต่างๆ...


การทำความเข้าใจ โลกอันเร้นลับของส่วนประกอบโครงสร้างจักรวาล....และโครงสร้างสรรพสิ่ง...โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของคนเรา.....นั่นคือเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างและความสัมพันธ์ต่างๆในระดับ...อนุภาค ที่ประกอบขึ้นเป็นสรรพสิ่ง...

การก่อรูปการเบื้องต้นทางวัตถุ...ของสรรพสิ่งมีกระบวนการใหญ่อยู่ 2 ประเภทคือ...กระบวนการ ฟิชชั่น fission หรือกระบวนการแตกตัว.....และกระบวนการ fusion หรือกระบวนการรวมตัว..

การแตกตัวออกไป...ในระดับอนุภาคก็ก่อให้เราเห็นถึงการเกิดขึ้นของปรากฎการณ์ของพลังงานในรูปแบบต่างๆ..ทั้ง ความร้อน แสง..สี...เสียง...ที่แปรเปลี่ยนไปจากการสูญสลายไปของพลังงานที่ยึดเหนี่ยวกันขององค์รวมทางวัตถุนั้น....พลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะหลักต่างๆแม้ว่าจะใช้ไม่มากนัก...แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาลูกโซ่ขององค์รวมนั้นก่อเกิดพลังงานมากมายขยายในวงที่กว้าง.....จนเราเห็นได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสรรพสิ่งที่ต้องรับผลกระทบภายใต้การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ...

และที่สำคัญ...เป็นการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เล็กที่สุดที่เราไม่อาจจะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้..

การก่อรูปการทางวัตถุ...อีกกระบวนการที่เป็นผลให้เกิดรูปการทางวัตถุที่มีคุณสมบัติทางองค์รวมแตกต่างออกไป....ก็คือ กระบวนการฟิวชั่น...หรือกระบวนแห่งการรวมตัว...

การรวมตัวของโลกขนาดจิ๋ว...แต่ส่งผลแห่งพลังงานมหาศาลให้โลกทางวัตถุขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานการก่อรูปการทางวัตถุต่ำต้องกระเทือน....สามารถทลายภูผาที่ทอดยาวพังพินาศในพริบตา...จากการแปรรูปของพลังงานเป็น ความร้อน แสง สี เสียง .....

การก่อรูปการใหม่ในทางวัตถุด้วยการรวมตัว....เป็นการใช้พลังงานที่สูงที่มาก...จากพลังงานภายนอกและพลังงานภายใน...หลอมรวมก่อรูปการแห่งความสัมพันธ์ใหม่...ก่อเกิดพันธะใหม่...

ในโลกของวัตถุจิ๋ว...ยิ่งใหญ่เสมอก่อเกิดพลังงานมหาศาลสุดคณานับ หากเปรียบเทียบกับโลกวัตถุขนาดใหญ่...

ทำให้ดวงอาทิตย์ลุกไหม้ได้ทั้งดวงและส่งพลังงานไปในจักรวาล.....ก่อเกิดพลังงานให้ใช้หลายหมื่นหลายล้านปีเมื่อเทียบกับเวลาชีวิตมนุษย์...

โลกแห่งวัตถุจิ๋ว...ที่มีพลังงานไม่จิ๋วเลย...
และเป็นส่วนประกอบทุกส่วนของร่างกายเรา....
ที่เราจะต้องเข้าใจโครงสร้าง....แม้เพีบงเล็กน้อยก็ยังดี
อย่างน้อยก่อนที่จะไม่มีเวลาเข้าใจเลย...ในช่วงชีวิตที่สั้นๆในการก่อรูปการทางกายภาพของเรา....ของกลุ่มพลังงานเล็กๆเหล่านี้....

โลกของวัตถุเล็กจิ๋วเหล่านี้....กลับไม่ใช่สิ่งที่เล็ก....

วัตถุจิ๋วเหล่านี้....มีเสรีภาพในการดำรงอยู่ของตำแหน่งแห่งที่ที่กว้างขวาง....ด้วยขนาดของพลังงานอันมหึมา....จึงทำให้วิ่งผ่านสิ่งหนาๆได้ราวอากาศที่ว่างเปล่า...

ปัจจุบันการค้นคว้าทางฟิสิกส์ เราพบว่า....วัตถุเล็กๆเหล่านี้...เชื่อมร้อยกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวกันอันมหาศาล...

ในฟิสิกส์แห่งยุคต่อๆไป....เราก็คงจะค้นพบว่า....ที่จริงแล้ว...สิ่งที่เราเรียกว่าจิตหรือพลังงานทางจิตแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานได้มหาศาลกว่าวัตถุจิ๋วเหล่านี้เสียอีก....เมื่อมองอย่างสัมพัทธ์และบนพื้นฐานแห่งความเป็นไปได้...ด้วยเหตุผลทางตรรกะของพลังงานในจักรวาล....


สิ่งที่เร็วกว่าระบบวัตถุขนาดจิ๋ว....ย่อมสามารถวิ่งทะลุดวงอาทิตย์...ดวงดาว...ราววิ่งผ่านปุยเมฆบางๆ...และรังสีคลื่นความร้อนต่างๆเป็นเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบาที่แผ่วรดท้องทุ่งกว้าง...

จินตนาการแห่งโลกวัตถุขนาดจิ๋วของอนุภาค...
ปัจจุบันเราต่อยอดจินตนาการเหล่านี้มาจากแบบจำลอง....อะตอมจากรัธเออร์ฟอร์ด...มาเป็นแบบของนิลล์ บอห์ร และแถลงออกมาเป็นกฎ 2ข้อ โดยมี อาร์โนลด์ โซมเมอร์เฟลด์ ช่วยขัดเกลาและแต่งเติมให้ใหม่

ก่อรูปร่างเป็น ตัวเลขชุด ควอนตัม อันได้แก่ เลขวงโคจร ความเอียงวงโคจร รูปร่างวงโคจร

ต่อมาก็ได้รับการต่อยอดโดย โวลฟ์กัง พอลิ ที่ได้เสนอหลักการที่เรียกว่า หลักการไม่ยอมให้ของพอลิ อันเป็นกฎการเคลื่อนที่ในวงโคจรแต่ละวงของอิเล็กตรอน.....รวมทั้งนักฟิสิกส์อื่นๆอีกมากมายทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบันที่ได้หาข้อสรุปเพิ่มเติมในรายละเอียดจากการค้นคว้าทดลอง...


โครงสร้างร่างกายมนุษย์ก็คือโครงสร้างอันเกิดจากการเกาะเกี่ยวของอนุภาค และเช่นกันกับสิ่งอื่นๆเช่นผนังคอนกรีต...เหล็ก..เป็นต้น

ผนังคอนกรีตเป็นการเกาะเกี่ยวกันของอนุภาค ที่เกาะเกี่ยวกันเป็นโมเลกุล อันมีโครงสร้างที่แตกต่างออกไปจากร่างกายมนุษย์...

ภายใต้กฎเกณท์พื้นฐานทางฟิสิกส์....
กฎเกณท์แห่งสนามแรงที่ก่อเกิดพลังงานการยึดเหนี่ยวของอะตอม...และภายใต้โครงสร้างแห่งการประกอบกันขึ้นเป็นโมเลกุลของวัตถุเหล่านี้อันส่งก่อให้เกิดสนามแรงที่แตกต่างกันไป

จึงทำให้เราไม่อาจจะเดินทะลุกำแพงคอนกรีตหรือพาองค์รวมทางกายภาพของเราฝ่าด่านแห่งสนามแรงเหล่านี้ไปได้...

แต่องค์รวมทางกายภาพของเราที่เป็นองค์รวมแห่งอนุภาค...กลับสามารถเดินลุยองค์รวมโมเลกุลของน้ำได้....

พลังงานที่ยึดเหนี่ยวกันของอะตอมเหล่านี้และประกอบเป็นโครงสร้างโมเลกุลของผืนน้ำ...ไม่อาจต้านทางแรงแห่งองค์รวมทางกายภาพของเรา....หรือไม่สามารถที่จะทำลายพันธะแห่งการเกาะเกี่ยวกันของแรงระหว่างเซลล์ที่ประกอบเป็นองค์รวมทางกายภาพของเรา...
แต่ถ้าเป็นกรด หรือเบส อย่างแรง...พันธะที่ยึดเหนี่ยวของเซลล์ร่างกายมนุษย์ย่อมแหลกสลาย...

พลังงานแห่งโลกใบจิ๋ว...ก่อรูปการทางวัตถุที่แตกต่างกันออกไป...แม้ว่าต่างล้วนประกอบไปด้วยอะตอม...อันมีอนุภาคหลักๆคือ....โปรตรอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน

ปัจจุบัน...สนามแรงที่เราค้นพบ...มีเพียง4สนามแรง...อันได้แก่ สนามแรงนิวเคลียร์พลังสูงอันเป็นแรงยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสที่ประกอบไปด้วยโปรตรอนและนิวตรอน , สนามแรงนิวเคลียร์พลังต่ำอันได้แก่ พลังงานต่างๆที่มีการแผ่รังสีออกมาเช่นจากสารกัมมันตภาพรังสี เป็นต้น สนามแรงต่อมาก็คือสนามแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และสนามแรงสุดท้ายคือสนามแรงโน้มถ่วง....

สนามแรงโน้มถ่วง....อันเป็นสนามแรงที่มนุษย์สาวๆบนโลกรังเกียจยิ่งนักและสร้างปัญหาหนักอก...อันส่งผลให้เกิดอาการหนักใจแก่สาวๆในการพยายามหาวิธีการต้านแรงนี้...ด้วยสมุนไพรต่างๆเช่นกวาวเครือ...หรือครีมนานาชนิดเช่นปลาสโตแซงค์...เป็นต้น...หรือบางคนต้องใช้วิธีตบตีด้วยความชิงชัง....หากหนีไปอยู่โลกพระจันทร์ที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยสาวๆเหล่านี้ก็คงยอม....

และสนามแรงนี้...ไม่เพียงแต่มนุษย์สาวๆที่หนักอก...หนักใจ....ยังทำให้บรรดานักฟิสิกส์จากทั่วโลกไม่ว่าชายหรือหญิงนับแต่ 100 ปีกว่าจากยุคไอน์สไตน์...มาถึงปัจจุบันที่ยังปวดหัวกับการที่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนกับการหากฎมูลฐานหรือความสัมพันธ์ของสนามแรงนี้ที่มีต่อโลกใบจิ๋วแห่งอนุภาค...

ยังมีสนามแรงอื่นอีกหรือไม่...??!!!
ตามข้อสันนิษฐาน...และด้วยเหตุผลทางตรรกะแล้วย่อมมีอย่างแน่นอน..กล่าวคือ

ตามทฤษฎี ต่างๆเช่น....ทฤษฎีที่เชื่อว่าจักรวาลมีการหดตัว...มีการขยายตัวหรือการโป่งพอง

ทฤษฎีบิ๊กแบงก์...การเกิดสภาวะ ซิงกูลาริตี้ (Singularity) ที่มวลสารรวมตัวอัดแน่นและระเบิด...และสภาวะที่มวลสารปลดปล่อยพลังงานออกไปและเกิดการยุบตัวลงเป็นหลุมดำ...

หากไม่มีพลังงานที่สูงยิ่งยวด...ก็ไม่มีการคงรูปใดๆของพลังงานในระบบของ...ซิงกูลาริตี้...หลุมดำ...กาแลกซี่...เนบิวล่า...กระจุกดาวต่างๆ....และระบบสุริยะ เป็นต้นที่เราเห็นได้ในรูปทรงต่างๆในภาพขององค์รวมทางกายภาพของสิ่งเหล่านั้น

ความมืด...และความหนาวเย็นหากเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมของระบบสุริยะยังเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ในจักรวาล.....

สนามแรงอันเป็นปฏิภาคเหล่านี้...ดำรงอยู่ในจักรวาล...

สำหรับองค์รวมที่ประกอบขึ้นเป็นองค์รวมมนุษย์....นอกจากจะมีองค์รวมทางกายภาพ อันเป็นองค์รวมของอนุภาคต่างๆหรือการก่อรูปการทางวัตถุภายใต้ขอบเขตุของพลังงานแห่งระบบโลก...

มนุษย์ยังมีองค์รวมทางด้านจิตใจ...หรือจิตวิญญาณ อันเป็นระบบการก่อรูปการทางวัตถุที่มีความเร็วแตกต่างไปจากระบบความเร็วทางกายภาพ...

นั่นย่อมหมายถึงระบบแห่งพลังงานที่แตกต่างกันในการก่อรูปการทางวัตถุ...

รูปการทางจิต...ดำรงอยู่ในสนามแรงเช่นไร...???ก่อเกิดขึ้นได้เช่นไร...ได้กล่าวมาบ้างแล้วในบล็อก...สายน้ำแห่งความรัก..

แต่เพื่อที่จะทำความเข้าใจในการก่อรูปการทางวัตถุเบื้องต้น...ของระบบการก่อรูปการทางวัตถุแห่งโลกมนุษย์เราจึงขอทำความเข้าใจในบางประเด็นของโลกแห่งอะตอม...

โลกใบเล็กที่ขนาดแค่จุดดินสอ...ประกอบไปด้วยประชากรอะตอม..มากเท่ากับมนุษย์บนโลกใบนี้...



ในบรรดานักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงของโลกในยุคอดีต...ส่วนใหญ่จะเสนอความคิดทฤษฎีของตนเองออกมาขณะที่อายุยังน้อย...เช่นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสนอแนวคิดทฤษฎีออกมาตอนอายุ 16 ปี...ไอแซก นิวตัน ก็เมื่ออายุ 20 กว่าปี วอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก เสนอทฤษฎีความไม่แน่นอนเมื่ออายุ19ปี....เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ นักฟิสิกส์โนเบลชาวออสเตรีย ผู้พัฒนากลศาสตร์ควอนตัม และสมการคลื่น..เมื่ออายุ23 ปี...เป็นต้น

วัฒนธรรมของตะวันตก...มีข้อดีตรงที่การยอมรับต่อการเสนอองค์ความรู้ใหม่โดยไม่มีอุปสรรคแห่งวัฒนธรรมของระบบอาวุโสมาปิดกั้นมากมายนัก...จึงทำให้มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ตลอดเวลา..

การสร้างองค์ความรู้ตามวัฒนธรรมแบบตะวันออกโดยมากมักจะยึดตามหลักที่มีอยู่แล้วภายใต้การเรียนรู้ในแบบระบบอาวุโส..และทำให้ขาดการกล้าแหวกกฎเกณท์เดิมที่มีอยู่ออกไป...ในการแสวงหาสัจจะที่ดำรงอยู่


จินตภาพโลกแห่งอะตอม


เออร์เนสท์ รัทเทอร์ฟอร์ด นักฟิสิกส์ชาวออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์และทีมงานได้ทดลองเพื่อที่จะตรวจวัดโครงสร้างของอะตอมแผ่นทองคำเปลว เพื่อจะพิสูจน์แบบจำลอง อะตอมของ เจ. เจ. ทอมสัน..นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษหัวหน้าห้องปฏิบัติการCavendish แห่งเคมบริดจ์ ผู้ที่ค้นพบอิเล็กตรอน ในปี พ.ศ.2440....ซึ่งได้จินตนาการสร้างแบบจำลองอะตอมเป็นแบบคล้ายๆก้อนขนมปังทรงกลมเป็นก้อนของประจุบวก โดยมีอิเล็กตรอนฝังตัวอยู่เหมือนลูกเกดในขนมปัง....

รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ใช้อนุภาคแอลฟา...จากเรเดียม ยิงเข้าไปในแผ่นทองคำเปลว...
และได้พบว่าอนุภาคแอลฟาที่มีประจุบวก กระจายตัวออกจากที่ว่างตรงศูนย์กลาง..
นั่นคือ...จะต้องมีสิ่งที่อยู่ตรงกลางในอะตอมและมีประจุบวกอยู่...
จึงเกิดแบบจำลอง อะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดขึ้น เป็นแบบระบบสุริยะ โดยมีอิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียส แบบก้นหอยหมุนวนเข้าข้างในเมื่อสูญเสียพลังงาน...

รัทเทอร์ฟอร์ด...ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อังกฤษมหาอำนาจยุคนั้นแห่งฝ่ายสัมพันธมิตร
แต่แบบจำลองแบบนี้...มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์อื่นๆได้...เช่นสเปกตรัม ต่างๆ


แบบจำลอง นิลส์ บอห์ร

นิลส์ บอห์ร นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก....หลังจบปริญญาเอกก็ได้เดินทางไปอังกฤษและได้พบกับนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงของโลกยุคนั้น...คือ รัทเทอร์ฟอร์ด ที่แมนเชสเตอร์..

ทั้งสองสนิทสนมกันมากและมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตลอด....

หลังจากนั้นไม่นาน เจมส์ แชดวิก เพื่อนร่วมงาน รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ค้นพบ อนุภาคที่เป็นกลาง ที่เรียกว่านิวตรอน อยู่ในส่วนที่เป็นแกนกลางของอะตอม อันเป็นไปตามคำทำนายของรัทเทอร์ฟอร์ด....
ผู้ซึ่งกล่าวถ้อยคำอมตะว่า... “ คนโง่ๆในห้องปฏิบัติการ อาจจะระเบิดจักรวาลโดยไม่ตั้งใจก็ได้ ”


ในค่ายเยอรมัน นักฟิสิกส์ แมกซ์ แพลงค์ ก็ได้เสนอทฤษฎีควอนตัมของพลังงาน อันเป็นการอธิบายถึงการแผ่รังสีของอะตอมที่ออกมาเป็นก้อนของพลังงาน....

หลังจากนั้นอีก5 ปีต่อมาในปี พ.ศ 2448 ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ และทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในปี 2450

พ.ศ.2456 นิลส์ บอห์ร ซึ่งพำนักที่แมนเชสเตอร์...ก็ได้ตีพิมพ์ Bohr’s atomic theory หรือทฤษฎีอะตอมของบอห์ร เผยแพร่ในอังกฤษและยังร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ...รัทเทอร์ฟอร์ดและด้วยมิตรภาพที่มีต่อกัน บอห์ร จึงตอบตกลงที่จะเป็นอาจารย์สอนที่แมนเชสเตอร์ ตามคำชักชวนของรัทเทอร์ฟอร์ด

ขอกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ในช่วงนี้หน่อยครับ เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมขององค์ความรู้ด้านอะตอมในยุคนั้น...และมีพัฒนาการมาอย่างไร...



แนวคิดอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อังกฤษ ในปี ค.ศ 1911 จึงเป็นแนวคิดที่ทันสมัยที่สุดของโลกในยุคนั้น

จากแนวคิดของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ว่า โครงสร้างอะตอมเหมือนเช่นระบบสุริยะประกอบด้วยศูนย์กลางอะตอมที่เป็นนิวเคลียส มีมวลซึ่งเป็นประจุบวกที่หนัก และมีอิเล็กตรอนประจุลบโคจรรอบๆ...โดยมีแรงที่ยึดเหนี่ยวกันคือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า.....

หลังจากนั้นอีก 2 ปี...นิลส์ บอห์ร ก็ได้พัฒนาโครงสร้างอะตอมใหม่ ด้วยการอธิบายถึงกฎการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในวงโคจรต่างๆรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนพลังงาน...อันเป็นทฤษฎีอะตอมของ บอห์ร...

ในปีค.ศ.1918 บอห์ร ได้จัดตั้งสถาบันฟิสิกส์เชิงทฤษฎีขึ้น...โดยเป็นสาขาหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งโคเปนเฮเกน ....สถาบันของบอห์ร แห่งนี้จึงเป็นที่รวมของนักฟิสิกส์จากทั่วโลกในยุคนั้นจากทุกค่ายหลังสงครามโลกครั้งที่1

เดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่1 จึงเป็นแหล่งชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์จากเยอรมนี ที่แพ้สงคราม เข้าร่วมงานในโคเปนเฮเกนกันคึกคัก.....รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์จากค่ายฝ่ายสัมพันธมิตร

สมาชิกของสถาบันของบอห์รจึงคึกคักไปด้วยนักวิทยาศาสตร์โนเบล และบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากทั่วโลกหลายร้อยคนหมุนเวียนกันมาร่วมงานที่นี่ และร่วมการประชุมใหญ่เป็นประจำทุกปีของบรรดาสมาชิก...เช่น เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก จากเยอรมนีที่ร่วมงานกับบอห์ร และพักอยู่ที่โคเปนเฮเกนถึง 3 ปี,...เออร์วิน ชโรห์ดิงเจอร์จากออสเตรีย , โวลฟ์กัง พอลิ จากเยอรมนี , พอล ดิแรก จากอังกฤษ ,ลิเซอ ไมเนอร์จากเยอรมนี, อาร์ทัวร์ ซอมเมอร์เฟลด์ จากเยอรมนี ผู้ซึ่งได้พัฒนาทฤษฎีของบอห์รให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น,...ออทโท ฟริช จากเยอรมนี(ที่ร่วม กับ ลิเซอ ไมเนอร์ อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นเป็นรายแรกที่บัญญัติศัพท์การแตกตัวหรือ fissionและบอห์ร ให้การสนับสนุนเห็นชอบและให้นำเสนอผลงาน......เป็นการอธิบายจากการทดลองของ ออทโท ฮาห์น แห่งเยอรมนีในการทดลองยิงนิวตรอนไปที่ยูเรเนียม 238....ที่ทำการทดลองในแบบเดียวกับ...เอนรีโค เฟร์มี จากอิตาลี )


สถาบันของบอห์ร...จึงเป็นศูนย์กลางในการประสานงานให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองค่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีอังกฤษเป็นหัวหอก และฝ่ายอักษะที่มีเยอรมนีเป็นผู้นำ.....ด้วยอุดมการณ์แห่งความเป็นสากลนิยมของนักวิทยาศาสตร์....บนพื้นฐานแห่งมิตรภาพและความร่วมมือกันสร้างพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาสัจจธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: